โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2553 00:07 น.
“ฟาร์มเฮ้าส์” เดินเกมรุกปี 54 รับกำลังซื้อฟื้น ทุ่ม 500 ล้านบาท เพิ่มหน่วยรถ-เอาท์เล็ท-กำลังผลิต หวังดันรายได้ทะลุ 5,300 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีนี้ที่รายได้เติบโต 17% ยังอั้นไม่ปรับราคาสินค้าตามวัตถุดิบ เผยธุรกิจร่วมทุนร้านอาหารญี่ปุ่นซาโบเตนไปได้สวย
นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ ฟาร์มเฮ้าส์ เปิดเผยว่า บริษัทฯวางแผนลงทุนในปีหน้า (2554) ไว้แล้ว เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว รวมทั้งกำลังซื้อที่จะมีมากขึ้น จากการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ หลังจากที่ปีนี้ได้ลงทุนเพิ่มไปแล้ว 500ล้านบาทในการเพิ่มกำลังผลิตสร้างโรงงานที่โนิคมอุตสาหกรรมบางชัน เพิ่มการผลิตขนมปังปอนด์ 1 ไลน์ผลิต เค้ก 2 ไลน์ผลิต และ โดรายากิ 2 ไลน์ผลิต ซึ่งจะเสร็จต้นปีหน้า
โดยปีหน้าจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในการเพิ่มหน่วยรถอีกกว่า 100 คัน ลงทุนด้านไอที การเพิ่มคลังสินค้า และจุดขายเป็น 38,000 เอาท์เลท หลังจากที่ปีนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 35,000 เอาท์เลท จากปีที่แล้วที่มี 32,000 เอาท์เลท รวมทั้งการเพิ่มกำลังผลิตอีกประมาณ 25% ที่บางชันเพื่อรองรับปีถัดไป ซึ่งจะทำให้มีสินค้ามากเพียงพอต่อการป้อนตลาดและผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันจะมีการเพิ่มเมนูใหม่ๆออกมาอีกในช่วงครึ่งปีหลังไม่ต่ำกว่า10 รายการ จากปัจจุบันที่มีประมาณ 150 รายการแล้ว ซึ่งเมนูใหม่ที่วางตลาดปีนี้มียอดขายดีคือ เดลี่แซนด์วิช และโฮลวีตบดละเอียด ที่เดิมขาย 12 บาท ได้ลดลงเหลือ 10 บาท ก็ขายดีมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 4,580 ล้านบาท เติบโต 17% ในแง่รายได้ และเติบโต 20% ในแง่ปริมาณ จากเดิมที่ตั้งเป้าปีนี้เติบโตที่ 12% ขณะที่ปีที่แล้วเติบโตเฉลี่ย 16% และคาดว่าจากการวางแผนการลงทุนและการรุกตลาดหนักในปีหน้าจะทำให้มีรายได้รวมเพิ่มเป็นประมาณ 5,300 ล้านบาท เติบโต 15% โดยสัดส่วนรายได้มาจากในกรุงเทพฯ 40% และต่างจังหวัด 60%
อย่างไรก็ตาม นายอภิชาติ ยอมรับว่า ขณะนี้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แป้ง น้ำมัน แต่ก็ยังอยู่ในภาวะที่บริษัทฯพอรับได้ จึงยังไม่ปรับราคาสินค้าขึ้นเวลานี้ ส่วนผลจากการเปิดเสรีนั้นก็มีผลไม่มากนัก เนื่องจากว่า สัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศน้อยมากแค่ 5% เช่น ถุงบรรจุมาจากมาเลเซีย ยีสต์มาจากเวียดนาม เป็นต้น ขณะที่กว่า 95% ของวัตถุดิบใช้ในไทย
นายอภิชาติ กล่าวถึงธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยว่า ได้ร่วมทุนกับบริษัท กรีนเฮ้าส์ จำกัด จากญี่ปุ่น ตั้งบริษัท เพรซิเดนท์ กรีนเฮ้าส์ ฟู้ดส์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท ไทยถือหุ้น 51% ญี่ปุ่น 49% เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น “ชินจูกุ ทงคัทสึ ซาโบเตน” เปิดสาขาแรกที่อิเซตัน ลงทุน 12 ล้านบาท เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงทดลองตลาด ยอดขายปีแรก 40 ล้านบาท ปีนี้ 20 ล้านบาท เพราะผลกระทบจากปัญหาการชุมนุม แต่ภาพรวมไปได้ดี
ขณะนี้จึงขยายสาขาที่สองที่ดิเอ็มโพเรียม และกุมภาพันธ์ปีหน้าเปิดที่สยามพารากอน ลงทุน 7 ล้านบาทโดยเฉลี่ย ต่อสาขา เน้นเมนูหมูทอดทงคัตซึเป็นหลัก กลุ่มลูกค้าคนไทย 85% คนต่างชาติ 15% ถือเป็นการร่วมทุนครั้งแรกของบริษัทฯ และไทยเป็นประเทศที่สามที่ร่านดังกล่าวนี้ออกนอกญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้คือที่ เกาหลีและไต้หวัน
เป็นข่าวท่ีดีของ PB มีความเคล่ือนไหว ทั้งการลงทุนเพ่ิมและธุรกิจร้านอาหารญ่ีปุ่น
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ไอทีซิตี้ทุ่ม48ล.ตั้งบริษัทร่วมทุน ขยายไลน์ขาย"ไอโฟน-ไอแพด"
"ไอทีซิตี้" ขยายฐานธุรกิจประกาศร่วมทุน "เอสพีวี แอ๊ดวานซ์" ตัวแทนจำหน่ายสินค้า "แอปเปิล" เปิดช่องรับสิทธิ์ขายสินค้าของแอปเปิลทุกประเภทรวมทั้ง ไอโฟนและไอแพดในไอทีซิตี้ทุกสาขาทั่วประเทศ ดีเดย์ไตรมาส 2 ปีหน้า
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้อนุมัติการลงทุนในบริษัทร่วมทุนจัดตั้งใหม่ "บริษัทร่วมทุน" ในวงเงินรวม 48 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 40% ของทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท โดยบริษัทร่วมทุนจะประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องประเภทไอทีภายใต้ แบรนด์แอปเปิล ผ่านการเปิดร้าน I Studio, U Store และช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น ๆ โดยสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทร่วมทุนประกอบด้วย ไอทีซิตี้ 40% บริษัท เอสพีวี แอ๊ดวานซ์ จำกัด 30% นายนราธร วงศ์วิเศษ 10% นางสาวพัชรา เกียรตินันทวิมล 10% นางเพ็ชรรัตน์ วรญาณโกศล 5% นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล 5%
ทั้งนี้สำหรับบริษัทเอสพีวีฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยปัจจุบันมีร้านไอสตูดิโอให้ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ อาทิ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, ซีคอนสแควร์, ไอทีมอลล์ ฟอร์จูน และเอสพลานาด รวมทั้งร้านยูสโตร์ อยู่ในมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตและท่าพระจันทร์, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตบางนาและหัวหมาก รวมถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลประโยชน์ที่ "ไอทีซิตี้" จะได้รับ นอกเหนือจากเงินปันผลจาก บริษัทร่วมทุนแล้ว ทางไอทีซิตี้จะได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องประเภทไอทีภายใต้แบรนด์แอปเปิล ในสาขาของไอทีซิตี้ด้วย
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท ไอทีซิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารไอทีซิตี้ซูเปอร์สโตร์ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สิ่งที่ไอทีซิตี้ได้รับจากการร่วมทุน คือได้สิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของแอปเปิล ทุกประเภท ทั้งคอมพิวเตอร์แมคบุ๊ก ไอแมค รวมทั้งไอโฟน ไอแพดและแอ็กเซสซอรี่ ต่าง ๆ ในไอทีซิตี้ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของไอทีซิตี้ ที่จะเป็นศูนย์รวมด้านผลิตภัณฑ์ไอทีแบบวันสต็อปช็อปปิ้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ
โดยจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าของแอปเปิลในไอทีซิตี้ช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง เบื้องต้นจะเสนอสาขาที่จะทำตลาดให้ทางบริษัท แอปเปิล ไทยแลนด์ พิจารณา 10 แห่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯทั้งหมด
นายเอกชัยกล่าวว่า สำหรับไอทีซิตี้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 42 สาขา โดยตั้งเป้าปีหน้าขยายเพิ่มอีก 8 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสาขาในต่างจังหวัด และคาดว่าปีหน้ารายได้จะมีการเติบโตมากกว่า 10% โดยในปี 2554 บริษัทยังคงมีการเพิ่มสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งการเพิ่ม แบรนด์ใหม่อย่างแอปเปิล หรือการเพิ่มไลน์สินค้าในแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่แล้ว เช่นใน ปีหน้าจะมีสินค้าประเภทแท็บเลตจาก แบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาทำตลาดมากขึ้น รวมถึงในส่วนของการขยายธุรกิจบริการ ที่ได้ร่วมกับ บมจ.เอสวีโอเอเปิดศูนย์บริการ iFIX ในไอทีซิตี้ทุกสาขารองรับการให้บริการสินค้าไอที 13 แบรนด์ดัง
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้อนุมัติการลงทุนในบริษัทร่วมทุนจัดตั้งใหม่ "บริษัทร่วมทุน" ในวงเงินรวม 48 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 40% ของทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท โดยบริษัทร่วมทุนจะประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องประเภทไอทีภายใต้ แบรนด์แอปเปิล ผ่านการเปิดร้าน I Studio, U Store และช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น ๆ โดยสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทร่วมทุนประกอบด้วย ไอทีซิตี้ 40% บริษัท เอสพีวี แอ๊ดวานซ์ จำกัด 30% นายนราธร วงศ์วิเศษ 10% นางสาวพัชรา เกียรตินันทวิมล 10% นางเพ็ชรรัตน์ วรญาณโกศล 5% นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล 5%
ทั้งนี้สำหรับบริษัทเอสพีวีฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยปัจจุบันมีร้านไอสตูดิโอให้ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ อาทิ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, ซีคอนสแควร์, ไอทีมอลล์ ฟอร์จูน และเอสพลานาด รวมทั้งร้านยูสโตร์ อยู่ในมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตและท่าพระจันทร์, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตบางนาและหัวหมาก รวมถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลประโยชน์ที่ "ไอทีซิตี้" จะได้รับ นอกเหนือจากเงินปันผลจาก บริษัทร่วมทุนแล้ว ทางไอทีซิตี้จะได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องประเภทไอทีภายใต้แบรนด์แอปเปิล ในสาขาของไอทีซิตี้ด้วย
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท ไอทีซิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารไอทีซิตี้ซูเปอร์สโตร์ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สิ่งที่ไอทีซิตี้ได้รับจากการร่วมทุน คือได้สิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของแอปเปิล ทุกประเภท ทั้งคอมพิวเตอร์แมคบุ๊ก ไอแมค รวมทั้งไอโฟน ไอแพดและแอ็กเซสซอรี่ ต่าง ๆ ในไอทีซิตี้ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของไอทีซิตี้ ที่จะเป็นศูนย์รวมด้านผลิตภัณฑ์ไอทีแบบวันสต็อปช็อปปิ้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ
โดยจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าของแอปเปิลในไอทีซิตี้ช่วงไตรมาส 2 ปี 2554 ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง เบื้องต้นจะเสนอสาขาที่จะทำตลาดให้ทางบริษัท แอปเปิล ไทยแลนด์ พิจารณา 10 แห่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯทั้งหมด
นายเอกชัยกล่าวว่า สำหรับไอทีซิตี้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 42 สาขา โดยตั้งเป้าปีหน้าขยายเพิ่มอีก 8 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสาขาในต่างจังหวัด และคาดว่าปีหน้ารายได้จะมีการเติบโตมากกว่า 10% โดยในปี 2554 บริษัทยังคงมีการเพิ่มสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งการเพิ่ม แบรนด์ใหม่อย่างแอปเปิล หรือการเพิ่มไลน์สินค้าในแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่แล้ว เช่นใน ปีหน้าจะมีสินค้าประเภทแท็บเลตจาก แบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาทำตลาดมากขึ้น รวมถึงในส่วนของการขยายธุรกิจบริการ ที่ได้ร่วมกับ บมจ.เอสวีโอเอเปิดศูนย์บริการ iFIX ในไอทีซิตี้ทุกสาขารองรับการให้บริการสินค้าไอที 13 แบรนด์ดัง
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
Megatrend และกลยุทธ์การลงทุน
Megatrend และกลยุทธ์การลงทุน
ถาม : จริงไหมที่ ดร นิเวศรวยเพราะจับเทรนใหญ่ได้
ดร นิเวศน์ ตอนที่เลือกซื้อหุ้นก็เมือ่ 5 ปีที่แล้ว คือมองแล้วคิดว่าที่ซื้อกคงถือลงทุนอย่างต่ำ 5 ปี เพะราสิ่งที่เราเป้น เราดู มันเป้นกิจการและธุรกิจที่ดีต่อเนื่องไปในเทรนระยะยาว ในขณะที่ซื้อเทรนนั้นก็ผ่านมาแล้วพิสูจนืมาแล้ว 5 ปี คือเราซื้อช่วงกลางๆแล้ว แต่มูลค่าหุ้นก็ยังไม่สะท้อนผลประโยชนืที่ได้รับ พอเราซื้อแล้วถือมาก็พอดีกับที่ราคาขึ้นมารับผลดีดังกล่าวพอดี
คุณอภิรักษ์ : ถ้าเราติดตามวิกฤติท่ผ่านมาเราจะพบว่าตอนนี้กลุ่มปะเทส G20 OECD เริ่มมาพูดคุยกันถึงทิศางการเจริญเติบโตของโลกในระยะยาวมากขึ้น แต่เดิมนั้นทุกประเทศในโลกด้วยตั้งเป้าหายที่จะเติบโตทางด้าน GDP เพียงอย่างเดียว มีลักษณะเป้นทุนนิยม เก็งกำไรแบบสั้นๆ พอเกิดวิกฤติจึงเริ่มตระหนักดีว่า เราจำเป้ฯที่จะต้องมีการพัฒนา ศก ที่ยังยืน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ต่างๆเป้นที่พูดคุยกันมากขึ้น ในไทยเองก็มีการตื่นตัวมากขึ้นจากกรณีมายตาพุดที่เรามีมุมมองทาง สิงแวดล้อมสำคัญความผลกระทบทาง ศก ที่จะตามมา กระแสต่างๆที่เราสนใจก็ได้แก่
1 กระแสการเติบโตอย่างยั่งยืน ไมได้มองการเติบโตเพียงแต่ประเด็น GDPแต่ต้องดูมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมประกอบด้วย
2 เทรนโลกให้ความสนใจเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อตั้ประชาคมอาเซีน เขตการค้าเสรี FTA รวมทั้ง อาเซียน + 3 คือ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ อาเซียน+ 6 เพิ่ม ออสรีย อินเดีย นิซีแลน เข้ามา เหล่านี้ทำให้ต้องมีการลงทุนพัฒนาสารธารณูปโภคในย่านนี้เพื่อรองรับหลายๆอย่าง เช่น ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการทำรถไฟเชื่อมต่อกันจากจีนลงไปถึงมาเลย์ หรือแนวคิดประตูเชื่อโลกให้การเดินทางไปประเทศต่างๆในภูมิภาคสดวกสบายยิ่งขึ้น
3อุตสาหกรรมโลกเริ่มมีมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม มีการหยิบยกปัญหาภัยธรรมชาติมาพูดคุยกัน ด้านการขาดแคลนผลผลิตทางการเกษตร คือ ศก ในท้องถิ่นก็กระทบกับ สก โดยรวม สินค้าเกษตรตกต่ำ ก็ทำให้คนไม่มีเงินไปใช้สอยเงินไม่สะพัดกระทบการลงทุนเป็นต้น
4 การพัฒนาความเป็นเมืองมีการกระจายความเจริญไปสู่ชนบทมากขึ้น ระบบผังเมืองมีการกระจายสินค้าไปสู่ชนบท เป้นการขนายตลาดของสินค้าต่างๆออกไปจากเดิมที่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวง รวมทั้งมีการหลังไหลของแรงงานเข้าสู่งเมืองใหญ่ๆ อย่าง กทม ก็ทำให้เกิดวิถีชีวิตที่อยู่ตามคอนโด มากขึ้น การใช้ชีวิคนก็ปรับเปลี่ยนไป
5 การเคลื่นย้ายของคนมากขึ้นมาก การเดินทางของคนมากกว่าก่อน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินเมือก่อนเป้นเรื่องของคนมีเงิน เดี่ยวนี้สายการบินต้นทุนต่ำมีเป้นจำนวนมากใครๆก็บินได้ ก็ส่งผลให้การท่องเที่ยวต่างๆไปได้ง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น หรือกระทั่งการใช้เทคโนโลยีต่างๆ 3G FB ทวิตเตอร์ ก็ทำได้มากมีการกระจายของข้อมูลข่าวการรวดเร็ว ทำงานได้จากทุกดีไม่เป้นอุปสรรคในการเดินทางและการทำงาน
พี่นรินทร์ : กระแสหลักๆของโลก หรอืเมกะเทรนจริงๆแล้วก็มีหลากหลายมากๆแต่ที่เป้นประโยชน์ ก็มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.ประชากรโลกมีอายุสูงขึ้น เทรนสุขภาพ
2 การก้าวขึ้นมาของประเทศจีนและประเทศเกิดใหม่ทำให้แย่งกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
3การพัฒนาเมือง คนเข้ามาอยุ่ในเมือใหญ่ๆมาขึ้น
อ.นิเวศน์ : เสริมเรื่อง การเคลื่นที่ไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้นที่เป็นเทรนในขณะนี้การมองเรื่องของการท่องเที่ยว การโรงแรม การบินเพราะคนสมัยนี้เดินทางมากกว่าคนสมัยก่อนมาก ท่องเที่ยวได้ตลอดสะดวกสบายและราคาไม่แพงมาก โดยปกติแล้วภาคการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่ปีไหนที่มีวิกฤติก็อาจสะดุดหยุดไป 1 ปี หลังจากนั้นก็จะกลับมาอีก ไม่ค่อยมีปีไหนที่ตกตำไปนานๆ แต่ที่มองอย่างนี้ก็ต้องระวังเพราะ มองว่าธุระกิจมันได้ประโยชน์ก็ต้องมาดูว่าหุ้นในกลุ่มมันดีไหม เพราะอุตสาหกรรมที่ดีดี หลายๆอุตสาหกรรม ก็มีคนแห่กันไปทำ พอมีมากๆมันก็แข่งขันกันตัดราคาจน ผลกำไรน้อยหรือไม่มี เจ้งไปก็มี เมื่อเรารู้เทรน อุตสาหกรรมที่ดีแล้ว ก็ต้องหาหุ้นที่มันเก่ง ดีที่สุดเป้นผุ้นำ ต้านทานการแข่งขันได้
เดิมคนก็ไม่สนใจเรื่องพลังงาน ตอนหลังๆคนก็พุดเรื่องพลังงานขาดแคนมากขึ้นก็เป้นเทรนพลังงานหมดโลกก็ไปสนใจพวกพลังงานทดแทน พลังงานแสงแดด ไบโอดีเซล สุดท้ายก็เจ้งเพราะจริงๆแล้วอุตสาหกรรมดี แต่บริษัทเหล่านั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แข่งขันไม่ได้ต้นทุนสูง
เรือ่งประชากรก็น่าสนใจ เดิมประเทศที่พัฒนาแล้วก็พยายามควบคุมประชากร แต่ตอนนี้ ประเทศไหนที่มีประชากรมากกลับได้เปรียมในการแข่งขันเพราะตลาดใหญ่กว่า แรงงานมีจำนวนมากกว่า ประเทศเจริญ คนมีน้อยก็ต้องย้ายฐานการผลิตหาแรงงานเป้นต้น เทรนก็เริมเปลี่ยนไป
คนแก่มากขึ้น คนเกิดน้อยลง คนรวยเยอะขึ้น เพรั้งแต่ผมเกิดมาก 50 ปี มีไม่กี่ปีที่คนจนลงอันนี้ดูจาก GDP ปรเทศที่เติบโตตลอด มีน้อยปีมากที่ GDP ติดลบ นั่นแปลว่าคนเรารวยขึ้นตลอดมีเงินมากขึ้นในระบบ พวกธนาคารมันก็ดีขยายได้ทุกปี แล้วธุระกิจกองทุนรวมก้น่าสนใจเพราะคนมีเงินก็หาช่องทางในการหาผลตอแทนที่สูงขึ้นการมาลงทุน เพียงแต่ว่าไปหาใคร ใครได้ประโยชน์จากเงินในระบบที่มีมากๆก็คิดเอา
ที่สำคัญคือเมื่อเห็นเทรนแล้ว อุตสาหกรรมที่ดีแล้วก็ต้องดูว่ามีผู้ชนะหรือเปล่าแล้วก็เลือผู้ชนะ
ส่วนที่ถามว่าแล้วโมเดินเทรด ยังอยู่ในเทรนไหม ผมก็มองว่ายังอุ่เพราะยังมีการขยายสาขาได เดิมอาจกระจุกตัวอยู่ในเมือง ตอนนี้ก็ไปชานเมือง เมืองใหญ่ๆและเข้าต่างจังหวัดได้อีกและก็สอดคล้องกับที่ว่าคนมีเงินเยอะขึ้น ส่วนหนึ่งกับใช้จ่ายมากขึ้นพวกนี้ก็ได้ประโยชน์
คุณอภิรักษ์ : ต่อกันเรื่องผลกระทบรอบที่ผ่านมา ไทยซึ่งไม่ได้เป้นสาเหตุแต่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ส่วนหนึ่งเพราะรายได้ 70% ของเรามาจากการส่งออก ถ้าคู่ค้าปลายทางแย่เราก็กระทบด้วย กำลังการผลิตในช่วงปกติเราอยุ่ปนะมาณ 70-80% พอเค้าเกิดปัญหาลดเออเดอร เราก้ลดกำลังการผลิตก็ปลดคนงานเกิดปัญหาตามมาอีก รัฐบาลจึงพยายามที่จะลดการพึ่งพา ศก จากต่างประเทศลงเดินการเติบโตภายในจากโดเมสติกเพลมากขึ้น มีการส่งเสริมการเกษตร พัฒนาครัวไทยสุ่ครัวโลก อาหารสด และการท่องเที่ยวเพราะมีนักท่องเที่ยวมาไทยปีละ 15 ล้านคน แต่เทียบกับฝรั่งเศสที่มีคนไปถึง 80 ล้านคนเรายังสามารถพัฒนาเพิ่มการแข่งขันตรงนี้ได้ ยิ่งมีการรวมประชาคมอาเซียนการเดินทางสะดวกก็นะจะเปนผลดี (สรปุมันจะพึ่งภายในตรงไหนหว่าก็ที่พูดมามันก็ไปเกี่ยวข้องพึ่งพาต่างชาติอยุ่ดี อิอิ) อย่าง ศก เกาหลีใต้ที่เมือก่อนเป้นประเทศอุตสหกรรมหลนัก รัฐบาลมีการปรับการลงทุนครั้งใหญ่ เน้นการพัฒนาสินค้าและบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ภาพยนต์วัฒนธรรมจนมีชื่อเสี่ยงทั้งที่รากฐานทางวัฒนะธรรมเขาก็ไมได้เข้มแข็งเหมือนหลายๆประเทศแต่เขาสามารถโปรโมตมันออกมาได้ การพัฒนาเทตโนโลยีก็มีสูงและเร็วมาก ซัมซุง LG ตอนนี้แข่งขันได้ทั่วโลก
นอกจากการเติบโตแล้วเรายังต้องเน้นเรื่องความดปรงใส หรือธรรมาภิบาของบริษัทด้วย กระแส CSR ก็กำลังมาแรงในสังคมไทยเช่นกัน
พี่นรินทร์ : กลัมาตาคือกระแสหลักที่กล่าวไว้คือ คนแก่มาขึ้น จีนใหญ่ขึ้น มีเมืองมากขึ้น นอกจากน้นก็อาจมีคนอยากทำงานไม่เอาเงินเดือนมากแต่อยากมีเวลาให้ครอบครัว อืนๆแต่อาจไม่มีหุ้นต่างๆรอบรับเลยขอพูดแค่ 3 กลุมแรก
1คนสุงอายุมากขึ้น ทุกวันนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ามากและในปี 2050 นอกจากประชากรโลกจะไม่เพิ่มขึ้นล้วแต่มีแนวโน้มว่าประชากรโลกจะลดลงเป้นครั้งแรกด้วยซ้ำ ทั้งที่แต่เดิมคนกลัวว่าอนาคตคนจะล้นโลกแต่ในความเป็นจริงกับเกิดสิ่งตรงข้าม เรื่องที่ว่าประชากรลดลงมันเกิดมาจากสาเหตุดังนี้
1.1 ประเทศที่เจริญแล้ว คนมีรายได้มากขึ้นนิยมมีลุกน้อยลงหรือมีลุกคนเดียว แล้วทุ่มเทเลี้นยงดูลุกมากขึ้น ต่างจากคนจนที่มีลุกมาก (ดรมองว่าการมีลุกเป้นการลงทุนแบในอดีต อิอิ )
1.2 การแพทย์เจริญรุดหน้าไปไวมาก คนอายื่นขึ้น ในปี 1900 อายุเฉลี่ยของคนยุโรปอยู่ที่ 47 ปีเท่านั้น แต่ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของคนเพิ่มขึ้นเป็น 70-80 ปี คนเกิดน้อยลง คนตายช้าลงคนเลยมาก มีการแบ่งว่าในประเทศไหนที่มีคนมีอายุเกิน 60 ปีเกิน 25% ของประชากรจัดว่าประเทศนั้นเป้นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดแล้วใน ญี่ปุ่นและในยุโรบตะวันตก ซึ่งหตการนี้จะเกิดกันไทยในอีก 20 ปี คนอายุเกิน 60 ปีจะเพิ่มเป้น 2 เท่าแล้วเราจะลายเป้นสังคมผู้สูงอายุ ที่จะเกิดตามมาคือ โลกจะขาดแคลนแรงงาน ระเทศในกลุ่ม OECD มีคนวัยทำงานลดลงครั้งแรกแล้วในตอนนี้ จีนเองก็เช่นกันแต่จีนที่คนวัทำงานลดลงเพราะนโยบายให้มีลุกครอบครัวละ 1 คน ซึ่งจีนก็วางแผนจะใช้ต่อจนถึงปี 2015 ก็จะเลิก มองในแง่ดีคืออนาคตลุกหนานเราไม่ตกงาน แต่จะกระทบกับ สก เพราคนวัยทำงานลดลงการจัดเก็บภาษีก็ได้น้อยลง ตอนนี้ก็แก้ปัญหาด้วยการเลื่อนการเกษียณอายุออกไป
จากมุมมองดังกล่าวก็มาเข้าประเด็นที่ว่าอะไรน่าสนใจ ซึ่งผมก็มองกลุ่มเฮลแคร์ ถ้าในเมกาก็พวกบริษัทยา ประกันสุขภาพ ในไทยก็คงมีแต่พวกโรงพยาบาลกับประกัน ในที่นี้โฟกัสที่โรงบาลเอกชนที่มีศักยาพในการแข่งขันระดับโลก เหตุที่ทำให้โรงบาลของเราแข่งขันในโลกได้เกิดจาก
1ค่านิยมคนไทยที่คนเก่งที่สุดเรียนหมอ ทำให้หมอของเราเก่งกว่าที่อื่น ต่างจากเมกาที่คนหัวกะทิเค้าจะเลือกเรียนพวกกฏหมาย วิทยาศาสตร์
2 ต้นทุนโรงบาลเราถูกว่าต่างประเทศถึง 5-10 เท่า เช่นบ้านเราค่ารักษา 1 แสน เมืองนอกอาจ 1 ล้านเป้นต้น
3 นโยบาลหาเสียงของโอบาม่า ที่จะให้มีการประกันสุขภาพคนส่วนใหย่หรืออาจทั้งประเทศ แบบนี้โรงบาในประเทศอาจรองรับไม่ไหวต้อง กระจายไปที่อื่นและไทยเป้นปะเทศที่มีศักยภาพรองรับได้ เพราะตอนนี้ไทยเป้นประเทศที่มีการรับคนไข้นอกมากที่สุด
กลุ่มโรงบาลไทย ก็น่าสนใจทั้งกลุ่มแต่ที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือโรงบาลที่มีการรับคนต่างชาติ ซึ่งกลุ่มนี้ก็แพงกว่าตลาดประมาณ 40-50% แต่ถ้าเราจะถือยาวๆก็น่า.....
ส่นกลามประกันยังไม่มาเพราะยังยังไม่มีประบบประกันที่เข้มแข็งเหมือนต่างปรเทศ
2 การเข้ามาเป้นตัวขับเคลื่อนศก ของจีนและประเทศใหม่ๆ ปี 1900-2000 คนในประเทศที่พัฒนาแล้วมีจำนวน 20% ของประชากรโลก แต่คนกลุ่มนี้ใช้ทรัพยากรถึง 80% ของที่มีอยู่ แต่ด้วยโลกาภิวัฒน เทคโนโลยีต่างทำให้พรมแดนและการขยับชนช้นง่ายขึ้นคนอีก 80% ที่เหลือก็จะมีการใช้ทรัพยากรมากข้นแย่งคนกลุ่มแรกใช้ จะส่งผลให้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้ว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเงินมากกว่า ต่ก็มองข้ามปะเทศ BSIC หือ บลาซิล รัสเซีย อินเดีย จีนไปไมได้ มีการคาดว่าว่าประเทสพกนี้ในอนาคตจะมี GDP สูงกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดรวมกัน ทั้งนี้เกิดมาจากประทศพวกนี้มีปัญหภายในโดยเฉพาะการเมืองพอเค้าปรับตัวเองเข้ากับโลกาภิวัฒได้เช่น จีน เปิด ศกรับการลงทุนก็ทำให้ สก เติบโตอย่างรวดเร็ว ประทศอื่นๆก็ทำเช่นกันแต่ละประเทศที่ว่ามีมีจุดแข็งต่างกันเช่น จีนมีประชากร อินเดียมีประชากรแถมใช้ภาษาอังกฤษได้ บลาซิลมีทรัพยากรธรรมชาติมาก รัสเซียเช่นัน อินโดด้วย พวกนี้ถ้าเปิดรับการลงทุนคนในประเทศจะมีรายได้มากขึ้น บริโภคมากขึ้น ทรัพยากรก็จะถูกใช้ในอัตราเร่ง อย่างจีนตนนี้ใช้จักรยาน ถ้ามีเงินก็ซื้อรถใช้น้ำมันก้คิดดูว่าจะใช้นำมันขนาดไหนแล้วคนที่เคยมีรถถ้าศกไม่ดีก็คงไม่กลับไปใช้จักรยาน มันจึงเป็นเทรนที่มใช้แล้วมีแต่จะใช้มากขึ้น
ธุนะกิจที่น่าสนใจจึงเปนพวกวัตถุดิบ เช่นน้ำมัน ถานหิน วัตถุก่อสร้าง พลังงาน โลหะต่างๆ หรือพวกคอมโมนิตี้ แต่พวกนี้ก้ต้องดูเพราะมันก็มีรอบถือระยะยาวก็อาจกไรน้อย เช่น โลหะ อย่างทองแดง นิเกล สังกะสี ที่มีการเพิ่มความ้องารใช้มาก แต่พบว่าราคา ทงแดงขึ้นมา 4-5 เท่า อลูมิเนี่ยไม่เปลี่ยน นิเกิลตะกั่วขึ้นมา 1 เท่า ทั้งนี้เป้นเพราะวามต้องการเพิ่ม แต่ทองแดงมันเพิ่มกำลังผลิตแบบตัวอื่นๆได้น้อยมาก ราคาเลยแพง อลุมิเนี่ยต้องการมากก็เพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายราคาเลยไม่ไปไหนเวลาก็ก็ดันลงตาม
น้ำมันก้น่าสนใจ สาเหตุเพราะน้ำมันแพงที่แพงก้เกิดจากความต้องการมาก น้ำมันดิบในโลกบ่อใหญ่ๆอยู่ในช่วงท้ายอายุแลวกำลังการดุดน้ำมันก็ลดลง ต้องหาหลุมใหม่ๆทดแทนคาดว่าในปี 2030 กำลังการผลิตน้ำมันจะหายไป 25% ซึ่งเปนจุดที่เพิ่มกำลังการผลิตได้ไม่ทันกับความต้องการที่ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 45% หรือ ทบ ออยพีคนั่นเอง ก็น่าจะทำให้ราคาพวกนี้สูวขึ้นมาก ไม่ใช่เพราะน้ำมันหมดโลกเพียงแต่ขุดหลุมใหม่ไม่ทันความต้องการของคนใช้
ถ่าหินก็เป็นพลังานทดแทนที่น่าสนใจเพราะมีราคาถูก จีนมีความต้องการถานหินมาก ทั้งที่จริงๆแล้วจียนมีเหมืองอยู่เป้นจำนวนมากแต่อยู่ลึกเข้าไปในแผนดีการขนส่งลำบากจึงลดการส่งออกและนำเข้าถ่านหุ้นจากออสเตเรียมาใช้ ทำให้แย่งจากตลาดโลก
พลังงานทางเลือก เอาเข้าจริงๆก็ยังแข่งขันด้านต้นทุนไมได้ พวกไบดอต่างๆ แสงอาทิตย์ คิดคร่าวๆคือถ้าไบโอดีเซลทั้งหลายจะคุ้มค่าลงทุนน้ำมันต้อง 90เหรียญ หรือพลังงานลมแดด น้ำมันต้อง 100 เรียญถึงคุ้ม ดังั้นถ้ามองว่าพลังงานทางเลือกดี ก้แสดงว่าพลังานทางหลักมันต้องแพงมากๆดีกว่าก็เลือกลงทุนหุ้นพลังงานหลักๆเลยดีกว่า
เทรนเรื่องหลอด LED ที่เค้าว่าประหยัดไฟ (โลกใช้พลังงานส่องสว่าง 6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด) ซึ่งไม่มีปัญหาต่อให้ประหยัดไฟเพราะพฤติกรรมคนที่ผ่านมาย่งคดคนอะไรที่ประหยัดออกมาได้คนก็ยึ่งใช้พลังงานฟุ่มเฟือยมากขึ้น
โลหะอุตสาหกรรม ไม่ค่อยแนะนำเพราะไทยมีตัวเลือกน้อยและไม่อยู่ในกลุ่มต้นน้ำที่จะลงทุน
อาหาร ณ วันนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าอาหารมันจะขาดแคลนอาจเร็วไปที่จะลงทุน
อ.นิเวศ : เสริม ในตลาดไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป้นเจ้าของทรัพยากรเหล่านี้ ถึงมก็น้อยมาก ก็เลยมองพวกที่ดินก็น่าสนเพราะเป้นสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม ใครที่มีที่ดินในทำเลที่ดีดี ก็มักได้กำไรดี ยิ่งในอนาคตมีการแข่กันกันเสรีทั่วโลกนี่เราก็ต้องแข่งกับผู้เล่นระดับโลกก้ไม่รู้จะเป้นไง เลยสนใจพวกบริษัทที่มีที่ดิน เป้นผุ้นำ แล้วก็พวกท่องเที่ยวก็น่าจะดีเพราะการเดินทางสะบาย แต่ที่ฝากไว้คือบางครั้งอยู่ในอุตสหกรรมที่เป้นเทรนอย่าง อิเล็กโทรนิค คอมพิวเตอร์ แต่บริษัทเหล่านี้ในไทยก็ไม่ค่อยไปไหน การใช้ประโยชน์จากเมกาเทรนเราต้องเลือกหุ้นที่เป้นผู้ชนะ แข่งขันได้เพราะเป็นเทรนที่บริษัทควบคุมได้ ถึงได้ประโยชน์จริงๆ
ถาม : จริงไหมที่ ดร นิเวศรวยเพราะจับเทรนใหญ่ได้
ดร นิเวศน์ ตอนที่เลือกซื้อหุ้นก็เมือ่ 5 ปีที่แล้ว คือมองแล้วคิดว่าที่ซื้อกคงถือลงทุนอย่างต่ำ 5 ปี เพะราสิ่งที่เราเป้น เราดู มันเป้นกิจการและธุรกิจที่ดีต่อเนื่องไปในเทรนระยะยาว ในขณะที่ซื้อเทรนนั้นก็ผ่านมาแล้วพิสูจนืมาแล้ว 5 ปี คือเราซื้อช่วงกลางๆแล้ว แต่มูลค่าหุ้นก็ยังไม่สะท้อนผลประโยชนืที่ได้รับ พอเราซื้อแล้วถือมาก็พอดีกับที่ราคาขึ้นมารับผลดีดังกล่าวพอดี
คุณอภิรักษ์ : ถ้าเราติดตามวิกฤติท่ผ่านมาเราจะพบว่าตอนนี้กลุ่มปะเทส G20 OECD เริ่มมาพูดคุยกันถึงทิศางการเจริญเติบโตของโลกในระยะยาวมากขึ้น แต่เดิมนั้นทุกประเทศในโลกด้วยตั้งเป้าหายที่จะเติบโตทางด้าน GDP เพียงอย่างเดียว มีลักษณะเป้นทุนนิยม เก็งกำไรแบบสั้นๆ พอเกิดวิกฤติจึงเริ่มตระหนักดีว่า เราจำเป้ฯที่จะต้องมีการพัฒนา ศก ที่ยังยืน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ต่างๆเป้นที่พูดคุยกันมากขึ้น ในไทยเองก็มีการตื่นตัวมากขึ้นจากกรณีมายตาพุดที่เรามีมุมมองทาง สิงแวดล้อมสำคัญความผลกระทบทาง ศก ที่จะตามมา กระแสต่างๆที่เราสนใจก็ได้แก่
1 กระแสการเติบโตอย่างยั่งยืน ไมได้มองการเติบโตเพียงแต่ประเด็น GDPแต่ต้องดูมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมประกอบด้วย
2 เทรนโลกให้ความสนใจเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อตั้ประชาคมอาเซีน เขตการค้าเสรี FTA รวมทั้ง อาเซียน + 3 คือ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ อาเซียน+ 6 เพิ่ม ออสรีย อินเดีย นิซีแลน เข้ามา เหล่านี้ทำให้ต้องมีการลงทุนพัฒนาสารธารณูปโภคในย่านนี้เพื่อรองรับหลายๆอย่าง เช่น ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการทำรถไฟเชื่อมต่อกันจากจีนลงไปถึงมาเลย์ หรือแนวคิดประตูเชื่อโลกให้การเดินทางไปประเทศต่างๆในภูมิภาคสดวกสบายยิ่งขึ้น
3อุตสาหกรรมโลกเริ่มมีมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม มีการหยิบยกปัญหาภัยธรรมชาติมาพูดคุยกัน ด้านการขาดแคลนผลผลิตทางการเกษตร คือ ศก ในท้องถิ่นก็กระทบกับ สก โดยรวม สินค้าเกษตรตกต่ำ ก็ทำให้คนไม่มีเงินไปใช้สอยเงินไม่สะพัดกระทบการลงทุนเป็นต้น
4 การพัฒนาความเป็นเมืองมีการกระจายความเจริญไปสู่ชนบทมากขึ้น ระบบผังเมืองมีการกระจายสินค้าไปสู่ชนบท เป้นการขนายตลาดของสินค้าต่างๆออกไปจากเดิมที่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวง รวมทั้งมีการหลังไหลของแรงงานเข้าสู่งเมืองใหญ่ๆ อย่าง กทม ก็ทำให้เกิดวิถีชีวิตที่อยู่ตามคอนโด มากขึ้น การใช้ชีวิคนก็ปรับเปลี่ยนไป
5 การเคลื่นย้ายของคนมากขึ้นมาก การเดินทางของคนมากกว่าก่อน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินเมือก่อนเป้นเรื่องของคนมีเงิน เดี่ยวนี้สายการบินต้นทุนต่ำมีเป้นจำนวนมากใครๆก็บินได้ ก็ส่งผลให้การท่องเที่ยวต่างๆไปได้ง่ายขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น หรือกระทั่งการใช้เทคโนโลยีต่างๆ 3G FB ทวิตเตอร์ ก็ทำได้มากมีการกระจายของข้อมูลข่าวการรวดเร็ว ทำงานได้จากทุกดีไม่เป้นอุปสรรคในการเดินทางและการทำงาน
พี่นรินทร์ : กระแสหลักๆของโลก หรอืเมกะเทรนจริงๆแล้วก็มีหลากหลายมากๆแต่ที่เป้นประโยชน์ ก็มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.ประชากรโลกมีอายุสูงขึ้น เทรนสุขภาพ
2 การก้าวขึ้นมาของประเทศจีนและประเทศเกิดใหม่ทำให้แย่งกันใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
3การพัฒนาเมือง คนเข้ามาอยุ่ในเมือใหญ่ๆมาขึ้น
อ.นิเวศน์ : เสริมเรื่อง การเคลื่นที่ไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้นที่เป็นเทรนในขณะนี้การมองเรื่องของการท่องเที่ยว การโรงแรม การบินเพราะคนสมัยนี้เดินทางมากกว่าคนสมัยก่อนมาก ท่องเที่ยวได้ตลอดสะดวกสบายและราคาไม่แพงมาก โดยปกติแล้วภาคการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แต่ปีไหนที่มีวิกฤติก็อาจสะดุดหยุดไป 1 ปี หลังจากนั้นก็จะกลับมาอีก ไม่ค่อยมีปีไหนที่ตกตำไปนานๆ แต่ที่มองอย่างนี้ก็ต้องระวังเพราะ มองว่าธุระกิจมันได้ประโยชน์ก็ต้องมาดูว่าหุ้นในกลุ่มมันดีไหม เพราะอุตสาหกรรมที่ดีดี หลายๆอุตสาหกรรม ก็มีคนแห่กันไปทำ พอมีมากๆมันก็แข่งขันกันตัดราคาจน ผลกำไรน้อยหรือไม่มี เจ้งไปก็มี เมื่อเรารู้เทรน อุตสาหกรรมที่ดีแล้ว ก็ต้องหาหุ้นที่มันเก่ง ดีที่สุดเป้นผุ้นำ ต้านทานการแข่งขันได้
เดิมคนก็ไม่สนใจเรื่องพลังงาน ตอนหลังๆคนก็พุดเรื่องพลังงานขาดแคนมากขึ้นก็เป้นเทรนพลังงานหมดโลกก็ไปสนใจพวกพลังงานทดแทน พลังงานแสงแดด ไบโอดีเซล สุดท้ายก็เจ้งเพราะจริงๆแล้วอุตสาหกรรมดี แต่บริษัทเหล่านั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แข่งขันไม่ได้ต้นทุนสูง
เรือ่งประชากรก็น่าสนใจ เดิมประเทศที่พัฒนาแล้วก็พยายามควบคุมประชากร แต่ตอนนี้ ประเทศไหนที่มีประชากรมากกลับได้เปรียมในการแข่งขันเพราะตลาดใหญ่กว่า แรงงานมีจำนวนมากกว่า ประเทศเจริญ คนมีน้อยก็ต้องย้ายฐานการผลิตหาแรงงานเป้นต้น เทรนก็เริมเปลี่ยนไป
คนแก่มากขึ้น คนเกิดน้อยลง คนรวยเยอะขึ้น เพรั้งแต่ผมเกิดมาก 50 ปี มีไม่กี่ปีที่คนจนลงอันนี้ดูจาก GDP ปรเทศที่เติบโตตลอด มีน้อยปีมากที่ GDP ติดลบ นั่นแปลว่าคนเรารวยขึ้นตลอดมีเงินมากขึ้นในระบบ พวกธนาคารมันก็ดีขยายได้ทุกปี แล้วธุระกิจกองทุนรวมก้น่าสนใจเพราะคนมีเงินก็หาช่องทางในการหาผลตอแทนที่สูงขึ้นการมาลงทุน เพียงแต่ว่าไปหาใคร ใครได้ประโยชน์จากเงินในระบบที่มีมากๆก็คิดเอา
ที่สำคัญคือเมื่อเห็นเทรนแล้ว อุตสาหกรรมที่ดีแล้วก็ต้องดูว่ามีผู้ชนะหรือเปล่าแล้วก็เลือผู้ชนะ
ส่วนที่ถามว่าแล้วโมเดินเทรด ยังอยู่ในเทรนไหม ผมก็มองว่ายังอุ่เพราะยังมีการขยายสาขาได เดิมอาจกระจุกตัวอยู่ในเมือง ตอนนี้ก็ไปชานเมือง เมืองใหญ่ๆและเข้าต่างจังหวัดได้อีกและก็สอดคล้องกับที่ว่าคนมีเงินเยอะขึ้น ส่วนหนึ่งกับใช้จ่ายมากขึ้นพวกนี้ก็ได้ประโยชน์
คุณอภิรักษ์ : ต่อกันเรื่องผลกระทบรอบที่ผ่านมา ไทยซึ่งไม่ได้เป้นสาเหตุแต่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ส่วนหนึ่งเพราะรายได้ 70% ของเรามาจากการส่งออก ถ้าคู่ค้าปลายทางแย่เราก็กระทบด้วย กำลังการผลิตในช่วงปกติเราอยุ่ปนะมาณ 70-80% พอเค้าเกิดปัญหาลดเออเดอร เราก้ลดกำลังการผลิตก็ปลดคนงานเกิดปัญหาตามมาอีก รัฐบาลจึงพยายามที่จะลดการพึ่งพา ศก จากต่างประเทศลงเดินการเติบโตภายในจากโดเมสติกเพลมากขึ้น มีการส่งเสริมการเกษตร พัฒนาครัวไทยสุ่ครัวโลก อาหารสด และการท่องเที่ยวเพราะมีนักท่องเที่ยวมาไทยปีละ 15 ล้านคน แต่เทียบกับฝรั่งเศสที่มีคนไปถึง 80 ล้านคนเรายังสามารถพัฒนาเพิ่มการแข่งขันตรงนี้ได้ ยิ่งมีการรวมประชาคมอาเซียนการเดินทางสะดวกก็นะจะเปนผลดี (สรปุมันจะพึ่งภายในตรงไหนหว่าก็ที่พูดมามันก็ไปเกี่ยวข้องพึ่งพาต่างชาติอยุ่ดี อิอิ) อย่าง ศก เกาหลีใต้ที่เมือก่อนเป้นประเทศอุตสหกรรมหลนัก รัฐบาลมีการปรับการลงทุนครั้งใหญ่ เน้นการพัฒนาสินค้าและบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ภาพยนต์วัฒนธรรมจนมีชื่อเสี่ยงทั้งที่รากฐานทางวัฒนะธรรมเขาก็ไมได้เข้มแข็งเหมือนหลายๆประเทศแต่เขาสามารถโปรโมตมันออกมาได้ การพัฒนาเทตโนโลยีก็มีสูงและเร็วมาก ซัมซุง LG ตอนนี้แข่งขันได้ทั่วโลก
นอกจากการเติบโตแล้วเรายังต้องเน้นเรื่องความดปรงใส หรือธรรมาภิบาของบริษัทด้วย กระแส CSR ก็กำลังมาแรงในสังคมไทยเช่นกัน
พี่นรินทร์ : กลัมาตาคือกระแสหลักที่กล่าวไว้คือ คนแก่มาขึ้น จีนใหญ่ขึ้น มีเมืองมากขึ้น นอกจากน้นก็อาจมีคนอยากทำงานไม่เอาเงินเดือนมากแต่อยากมีเวลาให้ครอบครัว อืนๆแต่อาจไม่มีหุ้นต่างๆรอบรับเลยขอพูดแค่ 3 กลุมแรก
1คนสุงอายุมากขึ้น ทุกวันนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ามากและในปี 2050 นอกจากประชากรโลกจะไม่เพิ่มขึ้นล้วแต่มีแนวโน้มว่าประชากรโลกจะลดลงเป้นครั้งแรกด้วยซ้ำ ทั้งที่แต่เดิมคนกลัวว่าอนาคตคนจะล้นโลกแต่ในความเป็นจริงกับเกิดสิ่งตรงข้าม เรื่องที่ว่าประชากรลดลงมันเกิดมาจากสาเหตุดังนี้
1.1 ประเทศที่เจริญแล้ว คนมีรายได้มากขึ้นนิยมมีลุกน้อยลงหรือมีลุกคนเดียว แล้วทุ่มเทเลี้นยงดูลุกมากขึ้น ต่างจากคนจนที่มีลุกมาก (ดรมองว่าการมีลุกเป้นการลงทุนแบในอดีต อิอิ )
1.2 การแพทย์เจริญรุดหน้าไปไวมาก คนอายื่นขึ้น ในปี 1900 อายุเฉลี่ยของคนยุโรปอยู่ที่ 47 ปีเท่านั้น แต่ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของคนเพิ่มขึ้นเป็น 70-80 ปี คนเกิดน้อยลง คนตายช้าลงคนเลยมาก มีการแบ่งว่าในประเทศไหนที่มีคนมีอายุเกิน 60 ปีเกิน 25% ของประชากรจัดว่าประเทศนั้นเป้นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดแล้วใน ญี่ปุ่นและในยุโรบตะวันตก ซึ่งหตการนี้จะเกิดกันไทยในอีก 20 ปี คนอายุเกิน 60 ปีจะเพิ่มเป้น 2 เท่าแล้วเราจะลายเป้นสังคมผู้สูงอายุ ที่จะเกิดตามมาคือ โลกจะขาดแคลนแรงงาน ระเทศในกลุ่ม OECD มีคนวัยทำงานลดลงครั้งแรกแล้วในตอนนี้ จีนเองก็เช่นกันแต่จีนที่คนวัทำงานลดลงเพราะนโยบายให้มีลุกครอบครัวละ 1 คน ซึ่งจีนก็วางแผนจะใช้ต่อจนถึงปี 2015 ก็จะเลิก มองในแง่ดีคืออนาคตลุกหนานเราไม่ตกงาน แต่จะกระทบกับ สก เพราคนวัยทำงานลดลงการจัดเก็บภาษีก็ได้น้อยลง ตอนนี้ก็แก้ปัญหาด้วยการเลื่อนการเกษียณอายุออกไป
จากมุมมองดังกล่าวก็มาเข้าประเด็นที่ว่าอะไรน่าสนใจ ซึ่งผมก็มองกลุ่มเฮลแคร์ ถ้าในเมกาก็พวกบริษัทยา ประกันสุขภาพ ในไทยก็คงมีแต่พวกโรงพยาบาลกับประกัน ในที่นี้โฟกัสที่โรงบาลเอกชนที่มีศักยาพในการแข่งขันระดับโลก เหตุที่ทำให้โรงบาลของเราแข่งขันในโลกได้เกิดจาก
1ค่านิยมคนไทยที่คนเก่งที่สุดเรียนหมอ ทำให้หมอของเราเก่งกว่าที่อื่น ต่างจากเมกาที่คนหัวกะทิเค้าจะเลือกเรียนพวกกฏหมาย วิทยาศาสตร์
2 ต้นทุนโรงบาลเราถูกว่าต่างประเทศถึง 5-10 เท่า เช่นบ้านเราค่ารักษา 1 แสน เมืองนอกอาจ 1 ล้านเป้นต้น
3 นโยบาลหาเสียงของโอบาม่า ที่จะให้มีการประกันสุขภาพคนส่วนใหย่หรืออาจทั้งประเทศ แบบนี้โรงบาในประเทศอาจรองรับไม่ไหวต้อง กระจายไปที่อื่นและไทยเป้นปะเทศที่มีศักยภาพรองรับได้ เพราะตอนนี้ไทยเป้นประเทศที่มีการรับคนไข้นอกมากที่สุด
กลุ่มโรงบาลไทย ก็น่าสนใจทั้งกลุ่มแต่ที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือโรงบาลที่มีการรับคนต่างชาติ ซึ่งกลุ่มนี้ก็แพงกว่าตลาดประมาณ 40-50% แต่ถ้าเราจะถือยาวๆก็น่า.....
ส่นกลามประกันยังไม่มาเพราะยังยังไม่มีประบบประกันที่เข้มแข็งเหมือนต่างปรเทศ
2 การเข้ามาเป้นตัวขับเคลื่อนศก ของจีนและประเทศใหม่ๆ ปี 1900-2000 คนในประเทศที่พัฒนาแล้วมีจำนวน 20% ของประชากรโลก แต่คนกลุ่มนี้ใช้ทรัพยากรถึง 80% ของที่มีอยู่ แต่ด้วยโลกาภิวัฒน เทคโนโลยีต่างทำให้พรมแดนและการขยับชนช้นง่ายขึ้นคนอีก 80% ที่เหลือก็จะมีการใช้ทรัพยากรมากข้นแย่งคนกลุ่มแรกใช้ จะส่งผลให้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้ว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเงินมากกว่า ต่ก็มองข้ามปะเทศ BSIC หือ บลาซิล รัสเซีย อินเดีย จีนไปไมได้ มีการคาดว่าว่าประเทสพกนี้ในอนาคตจะมี GDP สูงกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดรวมกัน ทั้งนี้เกิดมาจากประทศพวกนี้มีปัญหภายในโดยเฉพาะการเมืองพอเค้าปรับตัวเองเข้ากับโลกาภิวัฒได้เช่น จีน เปิด ศกรับการลงทุนก็ทำให้ สก เติบโตอย่างรวดเร็ว ประทศอื่นๆก็ทำเช่นกันแต่ละประเทศที่ว่ามีมีจุดแข็งต่างกันเช่น จีนมีประชากร อินเดียมีประชากรแถมใช้ภาษาอังกฤษได้ บลาซิลมีทรัพยากรธรรมชาติมาก รัสเซียเช่นัน อินโดด้วย พวกนี้ถ้าเปิดรับการลงทุนคนในประเทศจะมีรายได้มากขึ้น บริโภคมากขึ้น ทรัพยากรก็จะถูกใช้ในอัตราเร่ง อย่างจีนตนนี้ใช้จักรยาน ถ้ามีเงินก็ซื้อรถใช้น้ำมันก้คิดดูว่าจะใช้นำมันขนาดไหนแล้วคนที่เคยมีรถถ้าศกไม่ดีก็คงไม่กลับไปใช้จักรยาน มันจึงเป็นเทรนที่มใช้แล้วมีแต่จะใช้มากขึ้น
ธุนะกิจที่น่าสนใจจึงเปนพวกวัตถุดิบ เช่นน้ำมัน ถานหิน วัตถุก่อสร้าง พลังงาน โลหะต่างๆ หรือพวกคอมโมนิตี้ แต่พวกนี้ก้ต้องดูเพราะมันก็มีรอบถือระยะยาวก็อาจกไรน้อย เช่น โลหะ อย่างทองแดง นิเกล สังกะสี ที่มีการเพิ่มความ้องารใช้มาก แต่พบว่าราคา ทงแดงขึ้นมา 4-5 เท่า อลูมิเนี่ยไม่เปลี่ยน นิเกิลตะกั่วขึ้นมา 1 เท่า ทั้งนี้เป้นเพราะวามต้องการเพิ่ม แต่ทองแดงมันเพิ่มกำลังผลิตแบบตัวอื่นๆได้น้อยมาก ราคาเลยแพง อลุมิเนี่ยต้องการมากก็เพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายราคาเลยไม่ไปไหนเวลาก็ก็ดันลงตาม
น้ำมันก้น่าสนใจ สาเหตุเพราะน้ำมันแพงที่แพงก้เกิดจากความต้องการมาก น้ำมันดิบในโลกบ่อใหญ่ๆอยู่ในช่วงท้ายอายุแลวกำลังการดุดน้ำมันก็ลดลง ต้องหาหลุมใหม่ๆทดแทนคาดว่าในปี 2030 กำลังการผลิตน้ำมันจะหายไป 25% ซึ่งเปนจุดที่เพิ่มกำลังการผลิตได้ไม่ทันกับความต้องการที่ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 45% หรือ ทบ ออยพีคนั่นเอง ก็น่าจะทำให้ราคาพวกนี้สูวขึ้นมาก ไม่ใช่เพราะน้ำมันหมดโลกเพียงแต่ขุดหลุมใหม่ไม่ทันความต้องการของคนใช้
ถ่าหินก็เป็นพลังานทดแทนที่น่าสนใจเพราะมีราคาถูก จีนมีความต้องการถานหินมาก ทั้งที่จริงๆแล้วจียนมีเหมืองอยู่เป้นจำนวนมากแต่อยู่ลึกเข้าไปในแผนดีการขนส่งลำบากจึงลดการส่งออกและนำเข้าถ่านหุ้นจากออสเตเรียมาใช้ ทำให้แย่งจากตลาดโลก
พลังงานทางเลือก เอาเข้าจริงๆก็ยังแข่งขันด้านต้นทุนไมได้ พวกไบดอต่างๆ แสงอาทิตย์ คิดคร่าวๆคือถ้าไบโอดีเซลทั้งหลายจะคุ้มค่าลงทุนน้ำมันต้อง 90เหรียญ หรือพลังงานลมแดด น้ำมันต้อง 100 เรียญถึงคุ้ม ดังั้นถ้ามองว่าพลังงานทางเลือกดี ก้แสดงว่าพลังานทางหลักมันต้องแพงมากๆดีกว่าก็เลือกลงทุนหุ้นพลังงานหลักๆเลยดีกว่า
เทรนเรื่องหลอด LED ที่เค้าว่าประหยัดไฟ (โลกใช้พลังงานส่องสว่าง 6% ของการใช้พลังงานทั้งหมด) ซึ่งไม่มีปัญหาต่อให้ประหยัดไฟเพราะพฤติกรรมคนที่ผ่านมาย่งคดคนอะไรที่ประหยัดออกมาได้คนก็ยึ่งใช้พลังงานฟุ่มเฟือยมากขึ้น
โลหะอุตสาหกรรม ไม่ค่อยแนะนำเพราะไทยมีตัวเลือกน้อยและไม่อยู่ในกลุ่มต้นน้ำที่จะลงทุน
อาหาร ณ วันนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าอาหารมันจะขาดแคลนอาจเร็วไปที่จะลงทุน
อ.นิเวศ : เสริม ในตลาดไทยไม่ค่อยมีหุ้นที่เป้นเจ้าของทรัพยากรเหล่านี้ ถึงมก็น้อยมาก ก็เลยมองพวกที่ดินก็น่าสนเพราะเป้นสิ่งที่ไม่มีเพิ่ม ใครที่มีที่ดินในทำเลที่ดีดี ก็มักได้กำไรดี ยิ่งในอนาคตมีการแข่กันกันเสรีทั่วโลกนี่เราก็ต้องแข่งกับผู้เล่นระดับโลกก้ไม่รู้จะเป้นไง เลยสนใจพวกบริษัทที่มีที่ดิน เป้นผุ้นำ แล้วก็พวกท่องเที่ยวก็น่าจะดีเพราะการเดินทางสะบาย แต่ที่ฝากไว้คือบางครั้งอยู่ในอุตสหกรรมที่เป้นเทรนอย่าง อิเล็กโทรนิค คอมพิวเตอร์ แต่บริษัทเหล่านี้ในไทยก็ไม่ค่อยไปไหน การใช้ประโยชน์จากเมกาเทรนเราต้องเลือกหุ้นที่เป้นผู้ชนะ แข่งขันได้เพราะเป็นเทรนที่บริษัทควบคุมได้ ถึงได้ประโยชน์จริงๆ
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553
TUF ซื้อ MW Brands ขยับเป็นผู้นำแห่งปลาทูน่าโลก
เมื่อประมาณ 13 ปีที่แล้ว บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ซื้อกิจการปลาทูน่ายักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน Chicken of the Sea แล้วก้าวขึ้นมาติดอันดับธุรกิจปลาทูน่าของโลก และล่าสุดพวกเขาซื้อกิจการ MW Brand Holdings S.A.S หรือ MW Brand (MWB) แล้วก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งแห่งธุรกิจปลาทูน่าโลก
MW Brands ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าและอาหารทะเลในตลาดยุโรป ภายใต้แบรนด์ John West, Petit Navire, Hyacinthe Parmentier และ Mareblu ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดฝรั่งเศส อังกฤษ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี
ปัจจุบัน MWB ถือครองโดย Trilantic Capital Partners ซึ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการถึง 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ Trilantic ได้เข้าซื้อ MWB จาก HJ Heinz ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานล่าสุด (31 มีนาคม 2553) MWB มียอดขายสูงถึง 448 ล้านยูโร โดยมูลค่าของสินทรัพย์เท่ากับ 559 ล้านยูโร
สำหรับการเข้าลงทุนใน MWB นั้น TUF จะเข้าลงทุนเต็ม 100% มูลค่า 680 ล้านยูโร หรือประมาณ 28,495 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ TUF กลายเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะสามารถแปรรูปวัตถุดิบปลาทูน่าได้ถึง 500,000 ตันต่อปี
อีกทั้ง TUF จะเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทอาหารทะเลที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วโลก และผลจากการนี้ก็จะทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของกระบวนการผลิตทั้งหมดเข้าไว้ด้วย คือ ตั้งแต่การผลิต การขาย การกระจายสินค้า และการมีแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย อเมริกา และยุโรป ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายที่มาจากตลาดยุโรป 11% ของสัดส่วนยอดขายทั้งหมด
“การรวมกันในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน สามารถสร้างกลยุทธ์ด้านการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำทางด้านอาหารทะเลของโลกที่สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตและตลาดผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว” ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF เล่า
ด้านอุษณีย์ ลิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส มองว่าการที่ TUF ซื้อกิจการ MWB จะเป็นผลบวกน่าประทับใจ และคาดหมายว่าศักยภาพการทำกำไรในแง่ของ Gross margin จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากเป็นการควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีศักยภาพการทำกำไรที่สูงกว่า TUF ทั้งนี้ EBITDA margin ของ MWB เฉลี่ยในปี 2552/53 เท่ากับ 18.5% สูงกว่า TUF ที่อยู่ระดับเพียง 8.5% โดย TUF มีแผนที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์จากแบรนด์ของ MWB ในการเจาะตลาดและขยายฐานรายได้มากขึ้นในทวีปยุโรป
อีกทั้งการใช้จุดแข็งจากการที่มีแหล่งวัตถุดิบที่อยู่ใจกลางแหล่งจับปลาทูน่าที่ใหญ่สุดของโลกทั้งในมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจับปลาทูน่าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการประหยัดภาระภาษี ทั้งภาษีนำเข้าทวีปยุโรป (Import tariff tax) ที่ระดับ 24% และภาษีเงินได้ฯ ทั้งในกานา และซีเชลส์ (Seychelles) ที่ระดับ 4% และ 0% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การผนึกพลังทางธุรกิจจากการควบรวมกิจการครั้งนี้ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 1-2 ปี ข้างหน้า แต่เนื่องจาก TUF ได้เข้าซื้อกิจการด้วยการก่อหนี้เกือบ 100% และส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 7% โดยในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น จึงเกิดความกังวลกับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะไปหักล้างกับผลบวกของการผนึกพลังทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจนแทบจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการทำกำไรที่สูงขึ้นของ TUF ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
“การเพิ่มภาระหนี้ระดับสูงจนทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อ EBITDA สูงแตะระดับ 4.25 เท่า
จะทำให้ TUF ต้องลดระดับการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีลงเหลือราว 33% ของกำไรสุทธิ จากเดิม 50% ซึ่ง TUF ได้ยืนยันเกี่ยวกับแผนการลดภาระหนี้สินว่าจะใช้ระยะเวลาภายใน 3 ปี หรือราวปี 2556 จึงจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ที่ระดับปกติได้เช่นเดิม” อุษณีย์ ทิ้งท้าย
จากคอลัมน์ Corporate Strategy โดย ฐิติเมธ โภคชัย นิตยสาร M&W กันยายน 2553
MW Brands ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าและอาหารทะเลในตลาดยุโรป ภายใต้แบรนด์ John West, Petit Navire, Hyacinthe Parmentier และ Mareblu ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดฝรั่งเศส อังกฤษ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี
ปัจจุบัน MWB ถือครองโดย Trilantic Capital Partners ซึ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการถึง 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ Trilantic ได้เข้าซื้อ MWB จาก HJ Heinz ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานล่าสุด (31 มีนาคม 2553) MWB มียอดขายสูงถึง 448 ล้านยูโร โดยมูลค่าของสินทรัพย์เท่ากับ 559 ล้านยูโร
สำหรับการเข้าลงทุนใน MWB นั้น TUF จะเข้าลงทุนเต็ม 100% มูลค่า 680 ล้านยูโร หรือประมาณ 28,495 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ TUF กลายเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะสามารถแปรรูปวัตถุดิบปลาทูน่าได้ถึง 500,000 ตันต่อปี
อีกทั้ง TUF จะเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทอาหารทะเลที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วโลก และผลจากการนี้ก็จะทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของกระบวนการผลิตทั้งหมดเข้าไว้ด้วย คือ ตั้งแต่การผลิต การขาย การกระจายสินค้า และการมีแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย อเมริกา และยุโรป ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายที่มาจากตลาดยุโรป 11% ของสัดส่วนยอดขายทั้งหมด
“การรวมกันในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน สามารถสร้างกลยุทธ์ด้านการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำทางด้านอาหารทะเลของโลกที่สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตและตลาดผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว” ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร TUF เล่า
ด้านอุษณีย์ ลิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส มองว่าการที่ TUF ซื้อกิจการ MWB จะเป็นผลบวกน่าประทับใจ และคาดหมายว่าศักยภาพการทำกำไรในแง่ของ Gross margin จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากเป็นการควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีศักยภาพการทำกำไรที่สูงกว่า TUF ทั้งนี้ EBITDA margin ของ MWB เฉลี่ยในปี 2552/53 เท่ากับ 18.5% สูงกว่า TUF ที่อยู่ระดับเพียง 8.5% โดย TUF มีแผนที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์จากแบรนด์ของ MWB ในการเจาะตลาดและขยายฐานรายได้มากขึ้นในทวีปยุโรป
อีกทั้งการใช้จุดแข็งจากการที่มีแหล่งวัตถุดิบที่อยู่ใจกลางแหล่งจับปลาทูน่าที่ใหญ่สุดของโลกทั้งในมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจับปลาทูน่าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการประหยัดภาระภาษี ทั้งภาษีนำเข้าทวีปยุโรป (Import tariff tax) ที่ระดับ 24% และภาษีเงินได้ฯ ทั้งในกานา และซีเชลส์ (Seychelles) ที่ระดับ 4% และ 0% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การผนึกพลังทางธุรกิจจากการควบรวมกิจการครั้งนี้ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 1-2 ปี ข้างหน้า แต่เนื่องจาก TUF ได้เข้าซื้อกิจการด้วยการก่อหนี้เกือบ 100% และส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 7% โดยในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น จึงเกิดความกังวลกับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะไปหักล้างกับผลบวกของการผนึกพลังทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจนแทบจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการทำกำไรที่สูงขึ้นของ TUF ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
“การเพิ่มภาระหนี้ระดับสูงจนทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อ EBITDA สูงแตะระดับ 4.25 เท่า
จะทำให้ TUF ต้องลดระดับการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีลงเหลือราว 33% ของกำไรสุทธิ จากเดิม 50% ซึ่ง TUF ได้ยืนยันเกี่ยวกับแผนการลดภาระหนี้สินว่าจะใช้ระยะเวลาภายใน 3 ปี หรือราวปี 2556 จึงจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ที่ระดับปกติได้เช่นเดิม” อุษณีย์ ทิ้งท้าย
จากคอลัมน์ Corporate Strategy โดย ฐิติเมธ โภคชัย นิตยสาร M&W กันยายน 2553
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
แผนการขยายกําลังการผลิต: AJ
AJ มีแผนขยายกําลังการผลิตในสาย BOPA และ BOPET อีกผลิตภัณฑละ 1 เทาตัว โดยไตรมาส 1/54 สาย BOPA จะเพิ่มกําลังการผลิตจากเดิม 5,000 ตันตอปเปน 10,000 ตันตอป และไตรมาส 1/55 BOPET จะเพ่ิมกําลังการผลิตจาก เดิมท่ี 32,000 ตันตอป เปน 60,000 ตันตอปซ่ึงการขยายกําลังการผลิตจะทําให AJ ข้ึนเปน ผูผลิตที่มีกําลังการผลิตมากที่สุดในประเทศ โดยกําลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะเปนปจจัย สนับสนุนใหกาํไรสุทธิของAJเติบโตข้ึนอยางมากในอกี 1-2ปขางหนา
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
MAKRO คาดยอดขายครึ่งปีหลังโต 15%
MAKRO คาดยอดขายครึ่งปีหลังโต 15%
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2010 เวลา 16:13:49 น.
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดี โดยเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรง ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรมได้ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเดือนต.ค.จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้การซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีทั้งในกลุ่มของโรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร รวมถึงโชห่วย มีเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีสมาชิก 2.2 ล้านราย จึงน่าจะทำให้แนวโน้มในครึ่งปีหลังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่มียอดขายเติบโต 15%
ด้านการขยายสาขาปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 4 แห่งงบลงทุน 1,500-1,600 ล้านบาท หรือประมาณ 400 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งบริษัทได้เปิดไปแล้ว 3 แห่ง คือ โดยไตรมาส 1/53 เปิดสาขาจ.กำแพงเพชร และไตรมาส 2/53 เปิดสาขาจ.กาญจนบุรี และสาขาจ.ลพบุรี ปัจจุบันจึงมีสาขารวม 47 แห่ง สำหรับสาขาที่ 4 ปีนี้ที่จ.หนองคาย จะเปิดสาขาวันที่ 29 ก.ย.จะทำให้ปีนี้บริษัทมีสาขารวม 48 แห่ง
อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทเชื่อว่าการเติบโตจะมาจากการขยายสาขาเพิ่ม และการเติบโตของสาขาเดิม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนแนวโน้มการขยายสาขาในปี 54 ขณะนี้บริษัทยังไม่มีเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทยังไม่มีใบอนุญาตในการขยายสาขาใหม่ จึงยังไม่สามารถระบุได้ ประกอบกับการเปิดสาขาใหม่มีขั้นตอนมากขึ้น และแม้ว่าปี 54 จะไม่สามารถเปิดสาขาใหม่ได้ ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อรายได้อย่างแน่นอน?
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2010 เวลา 16:13:49 น.
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดี โดยเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรง ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรมได้ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเดือนต.ค.จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้การซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีทั้งในกลุ่มของโรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคาร รวมถึงโชห่วย มีเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีสมาชิก 2.2 ล้านราย จึงน่าจะทำให้แนวโน้มในครึ่งปีหลังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่มียอดขายเติบโต 15%
ด้านการขยายสาขาปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 4 แห่งงบลงทุน 1,500-1,600 ล้านบาท หรือประมาณ 400 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งบริษัทได้เปิดไปแล้ว 3 แห่ง คือ โดยไตรมาส 1/53 เปิดสาขาจ.กำแพงเพชร และไตรมาส 2/53 เปิดสาขาจ.กาญจนบุรี และสาขาจ.ลพบุรี ปัจจุบันจึงมีสาขารวม 47 แห่ง สำหรับสาขาที่ 4 ปีนี้ที่จ.หนองคาย จะเปิดสาขาวันที่ 29 ก.ย.จะทำให้ปีนี้บริษัทมีสาขารวม 48 แห่ง
อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทเชื่อว่าการเติบโตจะมาจากการขยายสาขาเพิ่ม และการเติบโตของสาขาเดิม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนแนวโน้มการขยายสาขาในปี 54 ขณะนี้บริษัทยังไม่มีเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทยังไม่มีใบอนุญาตในการขยายสาขาใหม่ จึงยังไม่สามารถระบุได้ ประกอบกับการเปิดสาขาใหม่มีขั้นตอนมากขึ้น และแม้ว่าปี 54 จะไม่สามารถเปิดสาขาใหม่ได้ ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อรายได้อย่างแน่นอน?
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
MAKRO Q2/10 โตต่อ 50%
เรื่อง นำส่งงบการเงินประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2553
เรียน กรรมการ และผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัทฯ ขอนำส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะบริษัทระหว่างกาลของบริษัท
สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประจำไตรมาสที่ 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553
ซึ่งสอบทานโดยผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ แล้ว
รายได้
ในไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดรายได้รวมจำนวน 21,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตรา
ร้อยละ 14.3 จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเติบโตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสหนึ่งของปีนี้ใน
อัตราร้อยละ 1.2% การเติบโตของรายได้รวมเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายของ
แม็คโครสาขาเดิม (41 สาขา) และยอดขายจากสาขาใหม่ ซึ่งเปิดตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2552
จนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ จำนวน 6 สาขา (บริษัทฯ ได้เปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 2 นี้เพิ่ม
2 สาขาได้แก่สาขาที่ 46 กาญจนบุรี และสาขาที่ 47 ลพบุรี)
กำไรขั้นต้น
อัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากอัตรา
ร้อยละ 6.1 เป็น 7.0 และจำนวนเงินกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 เป็นผลมาจาก
สินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 จากไตรมาสเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นจำนวน 211 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก 6 สาขาใหม่จำนวน
120 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของสาขาเดิมและสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.1
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น
อัตราร้อยละ 6.3 ขณะที่ปีที่ผ่านมาอยู่ในอัตราร้อยละ 6.0
กำไรสุทธิ
บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้รวมจำนวน 633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาในอัตรา
ร้อยละ 44.5 สืบเนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น บริษัทฯ มีกำไร
หลังหักภาษีเงินได้จำนวน 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาในอัตราร้อยละ
49.6
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)
(นายเจริญ อัศวจารุเกษม)
ผู้จัดการฝ่ายประสานงานตลาดหลักทรัพย์
เรียน กรรมการ และผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัทฯ ขอนำส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะบริษัทระหว่างกาลของบริษัท
สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประจำไตรมาสที่ 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553
ซึ่งสอบทานโดยผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ แล้ว
รายได้
ในไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดรายได้รวมจำนวน 21,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตรา
ร้อยละ 14.3 จากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเติบโตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสหนึ่งของปีนี้ใน
อัตราร้อยละ 1.2% การเติบโตของรายได้รวมเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายของ
แม็คโครสาขาเดิม (41 สาขา) และยอดขายจากสาขาใหม่ ซึ่งเปิดตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2552
จนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ จำนวน 6 สาขา (บริษัทฯ ได้เปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 2 นี้เพิ่ม
2 สาขาได้แก่สาขาที่ 46 กาญจนบุรี และสาขาที่ 47 ลพบุรี)
กำไรขั้นต้น
อัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากอัตรา
ร้อยละ 6.1 เป็น 7.0 และจำนวนเงินกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 เป็นผลมาจาก
สินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 จากไตรมาสเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นจำนวน 211 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก 6 สาขาใหม่จำนวน
120 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของสาขาเดิมและสำนักงานใหญ่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.1
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น
อัตราร้อยละ 6.3 ขณะที่ปีที่ผ่านมาอยู่ในอัตราร้อยละ 6.0
กำไรสุทธิ
บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษีเงินได้รวมจำนวน 633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาในอัตรา
ร้อยละ 44.5 สืบเนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น บริษัทฯ มีกำไร
หลังหักภาษีเงินได้จำนวน 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาในอัตราร้อยละ
49.6
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)
(นายเจริญ อัศวจารุเกษม)
ผู้จัดการฝ่ายประสานงานตลาดหลักทรัพย์
โฮมโปรลุยผุดสาขาต่างประเทศปีหน้า
โฮมโปรย้ำปีหน้าชัดแน่ แผนผุดสาขาต่างประเทศ คาดประเดิมมาเลเซียแห่งแรก ก่อนยึดทั่วอาเซียนรับเปิดการค้าเสรี
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์หรือโฮมโปร ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยว่าแผนการขยายสาขาในต่างประเทศรับกับการเปิดเสรีการค้านั้นจะชัดเจนในปีหน้า โดยจะเริ่มไปเปิดตลาด ที่ประเทศอมาเลเซีย เป็นแห่งแรก เนื่องจากพิจารณาเห็นว่ารายได้ประชากรต่อหัวสูงกว่าคนไทยถึง 1 เท่าตัว โดยมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประชากรไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 เหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้การเข้าไปจะเป็นลักษณะการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการร่วมทุน ซึ่งลักษณะของศูนย์ที่จะก่อสร้างนั้นจะมีรูปแบบใกล้เคียงกับในเมืองไทยที่ใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อแห่งอยู่ที่ 5,000 ตารางเมตร หากเป็นการลงทุนต่อแห่งในเมืองไทยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท แต่หากเป็นในต่างประเทศอาจจะต้องใช้มากกว่า
“เท่าที่ได้ศึกษาพบว่า ธุรกิจรูปแบบโฮมโปร ในประเทศเพื่อนบ้านนั้นยังมีไม่มาก หากเข้าไปก็ต้องศึกษาในเรื่องของผังเมือง ให้ดี แต่เท่าที่ศึกษาเรื่องกฎหมายที่ดินในมาเลเซียนั้นมีสัญญาการเช่าที่ดินนั้นระยะยาวนานถึง 99 ปี”นายคุณวุฒิกล่าว
สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะใช้ขยายสาขานั้นจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วอาเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซีย
นายคุณวุฒิ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาโฮมโปรใหม่อีก 3 แห่ง ได้แก่บริเวณถ.ร่มเกล้า, ถ.ลำลูกกาคลอง 6 และจ. นครศรีธรรมราช ใช้เงินลงทุนรวม 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะมีสาขาครบ 40 แห่ง ส่วนในปีหน้าตั้งเป้าจะขยายสาขาใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 4 แห่ง โดยจะเน้นไปยังต่างจังหวัดในพื้นที่หัวเมืองรอง ขณะเดียวกันบริษัทฯจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้าประเภทเฮ้าส์แบรนด์มากขึ้นจากปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วน 16% และจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2-3% และจะพยายามรักษาสัดส่วนการขายเฮ้าส์แบรนด์ไว้ไม่ให้เกิน 25% ซึ่งสินค้าเฮ้าส์แบรนด์สามารถทำกำไรได้สูงถึง 30%
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังดีขึ้นมาก และพฤติกรรมผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยสินค้าตกแต่งบ้านมากขึ้น โดยในครึ่งปีแรก บริษัทตั้งเป้ากำไรโต 15% แต่เติบโตถึง 45% ขณะที่เป้ารายได้ตั้งเป้าเติบโต10% แต่ครึ่งปีแรกรายได้เติบโตถึง 20%
ที่มา : http://www.posttoday.com/ข่าว/ธุรกิจ-ตลาด/43643/โฮมโปรลุยผุดสาขาต่างประเทศปีหน้า
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์หรือโฮมโปร ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยว่าแผนการขยายสาขาในต่างประเทศรับกับการเปิดเสรีการค้านั้นจะชัดเจนในปีหน้า โดยจะเริ่มไปเปิดตลาด ที่ประเทศอมาเลเซีย เป็นแห่งแรก เนื่องจากพิจารณาเห็นว่ารายได้ประชากรต่อหัวสูงกว่าคนไทยถึง 1 เท่าตัว โดยมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประชากรไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 เหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้การเข้าไปจะเป็นลักษณะการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการร่วมทุน ซึ่งลักษณะของศูนย์ที่จะก่อสร้างนั้นจะมีรูปแบบใกล้เคียงกับในเมืองไทยที่ใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อแห่งอยู่ที่ 5,000 ตารางเมตร หากเป็นการลงทุนต่อแห่งในเมืองไทยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท แต่หากเป็นในต่างประเทศอาจจะต้องใช้มากกว่า
“เท่าที่ได้ศึกษาพบว่า ธุรกิจรูปแบบโฮมโปร ในประเทศเพื่อนบ้านนั้นยังมีไม่มาก หากเข้าไปก็ต้องศึกษาในเรื่องของผังเมือง ให้ดี แต่เท่าที่ศึกษาเรื่องกฎหมายที่ดินในมาเลเซียนั้นมีสัญญาการเช่าที่ดินนั้นระยะยาวนานถึง 99 ปี”นายคุณวุฒิกล่าว
สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะใช้ขยายสาขานั้นจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากนั้นจะขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วอาเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปินส์ และอินโดนีเซีย
นายคุณวุฒิ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะเปิดสาขาโฮมโปรใหม่อีก 3 แห่ง ได้แก่บริเวณถ.ร่มเกล้า, ถ.ลำลูกกาคลอง 6 และจ. นครศรีธรรมราช ใช้เงินลงทุนรวม 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะมีสาขาครบ 40 แห่ง ส่วนในปีหน้าตั้งเป้าจะขยายสาขาใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 4 แห่ง โดยจะเน้นไปยังต่างจังหวัดในพื้นที่หัวเมืองรอง ขณะเดียวกันบริษัทฯจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้าประเภทเฮ้าส์แบรนด์มากขึ้นจากปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วน 16% และจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2-3% และจะพยายามรักษาสัดส่วนการขายเฮ้าส์แบรนด์ไว้ไม่ให้เกิน 25% ซึ่งสินค้าเฮ้าส์แบรนด์สามารถทำกำไรได้สูงถึง 30%
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังดีขึ้นมาก และพฤติกรรมผู้บริโภคกล้าจับจ่ายใช้สอยสินค้าตกแต่งบ้านมากขึ้น โดยในครึ่งปีแรก บริษัทตั้งเป้ากำไรโต 15% แต่เติบโตถึง 45% ขณะที่เป้ารายได้ตั้งเป้าเติบโต10% แต่ครึ่งปีแรกรายได้เติบโตถึง 20%
ที่มา : http://www.posttoday.com/ข่าว/ธุรกิจ-ตลาด/43643/โฮมโปรลุยผุดสาขาต่างประเทศปีหน้า
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
AEONTS กลัวแม่ดุไม่ขอพูดเรื่องซื้อคาร์ฟูร์ ยอมรับบริษัทแม่เคยเทกโอเวอร์คาร์ฟูร์ญี่ปุ่น
AEONTS ปิดปากเงียบไม่กล้าออกความเห็นจะซื้อคาร์ฟูร์หรือไม่ แต่ยอมรับบริษัทแม่เคยเทกโอเวอร์คาร์ฟูร์ญี่ปุ่น ส่วนผลงาน Q2/53 (สิ้นสุด ส.ค.)แจ่ม ยอดสินเชื่อโต รับผลดีกำลังซื้อฟื้น มั่นใจรายได้ปีงบการเงิน 53 โต 10% การเมืองไม่ส่งผลกระทบ
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงกรณี คาร์ฟูร์ เครือข่ายค้าปลีกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และรายใหญ่สุดของทวีปยุโรปเล็งขายกิจการห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยว่า โดยส่วนตัวไม่ทราบเรื่อง เพราะตามนโยบายแล้ว AEONTS เป็นเพียงบริษัทลูกของบริษัทอิออนในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในอดีตบริษัทอิออนในประเทศญี่ปุ่นเคยได้เข้าไปเทกโอเวอร์คาร์ฟูร์ในญี่ปุ่นมาแล้ว
'กรณีคาร์ฟูร์เล็งขายกิจการในไทยนั้น เราไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะคงต้องขึ้นอยู่กับบอร์ดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทอิออนในไทยเป็นเพียงบริษัทลูกของบริษัทอิออนในญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ และบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทลูกของบริษัทอิออนในญี่ปุ่นอีกทีหนึ่ง ซึ่งหากบริษัทแม่มีความต้องการที่จะเข้าซื้อจริงเราก็ไม่สามารถที่จะทราบเรื่องได้ ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการใหญ่' แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/2553 (มิ.ย.-ส.ค.) เติบโตดีกว่าไตรมาส 2/2552 เพราะในปีนี้เศรษฐกิจโดยรวมทั้งในและนอกประเทศดูดีกว่าในปีก่อน โดยยอมรับว่าในปีก่อนเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรงทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่พบว่าตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ผ่านมาสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีทิศทางที่ดีอย่างชัดเจน ขณะที่อัตราหนี้เสียก็ลดลงทำให้บริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา โดยในช่วงที่ผ่านมาในเดือนมิ.ย.พบว่ายอดขายดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดการณ์ว่าทั้งไตรมาสผลประกอบการมีโอกาสที่จะเติบโตดี
'ในช่วงเดือนเม.ย.เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองทำให้มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น เพราะจากความกังวลทำให้ผู้บริโภคตุนสินค้าเก็บไว้บริโภค แต่หลังจากเหตุการณ์สงบยอดการใช้จ่ายอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่เริ่มเห็นยอดการใช้จ่ายกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว' แหล่งข่าวกล่าว
อนึ่ง ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 บริษัทฯ มีจำนวนลูกค้าสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นๆ ถึง 5.57 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 94,000 บัตรจากสิ้นปีก่อน แบ่งเป็นบัตรเครดิต 1.87 ล้านบัตร และบัตรสมาชิก 3.70 ล้านบัตร ในส่วนเครือข่ายของบริษัทฯ ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 79 สาขา และเครื่องเบิกและชำระเงินสดอัตโนมัติ (ATMs) จำนวน 317 เครื่อง
ขณะที่คาดการณ์รายได้ปีงบการเงิน 53 (สิ้นสุด 20 ก.พ. 2554) เติบโต 10% จากปีก่อน เพราะพิจารณาจากยอดการจับจ่ายผ่านบัตรในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ มากนัก แม้บริษัทฯ จะมีตู้ ATM จำนวน 1 เครื่องที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟไหม้ แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าตัวเครื่องและธนบัตรในตู้ยังปลอดภัย ประกอบกับด้วยสาขาที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้สามารถที่จะดำเนินธุรกรรมให้กับลูกค้าได้ตามปกติ
นอกจากนี้บริษัทมีฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่ 52% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรที่ในช่วงที่ผ่านมาราคาขยับขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้นจากวิกฤตภัยแล้ง ทำให้บริษัทได้รับผลดีไปด้วย
ทั้งนี้เมื่อเวลา 12.10น. ราคาหุ้น AEONTS อยู่ที่ 30.75บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย0.015 ล้านบาท
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงกรณี คาร์ฟูร์ เครือข่ายค้าปลีกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และรายใหญ่สุดของทวีปยุโรปเล็งขายกิจการห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยว่า โดยส่วนตัวไม่ทราบเรื่อง เพราะตามนโยบายแล้ว AEONTS เป็นเพียงบริษัทลูกของบริษัทอิออนในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในอดีตบริษัทอิออนในประเทศญี่ปุ่นเคยได้เข้าไปเทกโอเวอร์คาร์ฟูร์ในญี่ปุ่นมาแล้ว
'กรณีคาร์ฟูร์เล็งขายกิจการในไทยนั้น เราไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะคงต้องขึ้นอยู่กับบอร์ดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทอิออนในไทยเป็นเพียงบริษัทลูกของบริษัทอิออนในญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ และบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทลูกของบริษัทอิออนในญี่ปุ่นอีกทีหนึ่ง ซึ่งหากบริษัทแม่มีความต้องการที่จะเข้าซื้อจริงเราก็ไม่สามารถที่จะทราบเรื่องได้ ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการใหญ่' แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/2553 (มิ.ย.-ส.ค.) เติบโตดีกว่าไตรมาส 2/2552 เพราะในปีนี้เศรษฐกิจโดยรวมทั้งในและนอกประเทศดูดีกว่าในปีก่อน โดยยอมรับว่าในปีก่อนเศรษฐกิจโลกชะลอตัวรุนแรงทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่พบว่าตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ผ่านมาสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีทิศทางที่ดีอย่างชัดเจน ขณะที่อัตราหนี้เสียก็ลดลงทำให้บริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นและกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา โดยในช่วงที่ผ่านมาในเดือนมิ.ย.พบว่ายอดขายดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดการณ์ว่าทั้งไตรมาสผลประกอบการมีโอกาสที่จะเติบโตดี
'ในช่วงเดือนเม.ย.เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองทำให้มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น เพราะจากความกังวลทำให้ผู้บริโภคตุนสินค้าเก็บไว้บริโภค แต่หลังจากเหตุการณ์สงบยอดการใช้จ่ายอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่เริ่มเห็นยอดการใช้จ่ายกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว' แหล่งข่าวกล่าว
อนึ่ง ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 บริษัทฯ มีจำนวนลูกค้าสมาชิกบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นๆ ถึง 5.57 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 94,000 บัตรจากสิ้นปีก่อน แบ่งเป็นบัตรเครดิต 1.87 ล้านบัตร และบัตรสมาชิก 3.70 ล้านบัตร ในส่วนเครือข่ายของบริษัทฯ ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 79 สาขา และเครื่องเบิกและชำระเงินสดอัตโนมัติ (ATMs) จำนวน 317 เครื่อง
ขณะที่คาดการณ์รายได้ปีงบการเงิน 53 (สิ้นสุด 20 ก.พ. 2554) เติบโต 10% จากปีก่อน เพราะพิจารณาจากยอดการจับจ่ายผ่านบัตรในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ มากนัก แม้บริษัทฯ จะมีตู้ ATM จำนวน 1 เครื่องที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟไหม้ แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าตัวเครื่องและธนบัตรในตู้ยังปลอดภัย ประกอบกับด้วยสาขาที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำให้สามารถที่จะดำเนินธุรกรรมให้กับลูกค้าได้ตามปกติ
นอกจากนี้บริษัทมีฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่ 52% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรที่ในช่วงที่ผ่านมาราคาขยับขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้นจากวิกฤตภัยแล้ง ทำให้บริษัทได้รับผลดีไปด้วย
ทั้งนี้เมื่อเวลา 12.10น. ราคาหุ้น AEONTS อยู่ที่ 30.75บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย0.015 ล้านบาท
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สรุปงานจิบเบียร์ ที่ดิเอ็ม…ครับ อิอิ 4/6/10
สรุปงานจิบเบียร์ ที่ดิเอ็ม…ครับ อิอิ 4/6/10
เปิดด้วยระหว่างที่ อาจารย์ท่านกำลังทานอาหารก็มีผู้ร่วมโต๊ะได้ถามคำถาม ก่อนดังนี้ครับ
ถาม เหตุการณ์ความไม่สงบรอบนี้กล่มท่องเที่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
ดร.ตอบ งบที่จะถึงคงดุไม่ดี แต่เชื่อว่าปลายปีนี้น่าจะกลับมาโอเค ขึ้นแต่ที่สังเกตุดูรอนี้หุ้นลงไมมากเท่าที่ควรเพราะผมมองว่า รายย่อยมีเงินสดอยู่ค่อนข้างมาก พร้อมที่จะซื้อหุ้นตลอดเวลา แล้วปัจจุบันทางเลือกทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโอเคๆก็มีไม่ค่อยมาก พอหุ้นลงคนมันก็เลยแห่ไปซื้อ
ถาม มุมมองของอาจารย์ที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นในการลงทุนครับ
ดร.ตอบ การเลือกหุ้นที่ละลงทุนมันก้มีหลายๆวิธี แตกต่างกัน เช่น พวกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงๆพวกนี้จะดูยึดติดกับ PE ก็ไมได้เพราะกำไรมันโตตลอด PE ที่เห้นมันเป้นของอดีตคุรก็ต้องมองไปข้างหน้า หุ้นกลุ่มนี้ผมก็ให้ความสัคัญคับศักยภาพเป้นหลัก ส่วนอีกแบบคือโตไม่มากรึโตไม่แน่รายได้กำไรทรงๆแบบนี้ก็ดุ PE ที่เป็นอยู่ในขณะนั้นก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไหรแล้วก็ประเมินว่าถูกแพงไหรือยัง
ศักยภาพที่สำคัญที่ผมให้ความสนใจคือการเติบโตของกำไรที่ไม่ต้องลงทุนใม่ๆเพิ่มเช่น CPALL จะขยายสาขาก็ใช้เงินไม่มากนักแต่สร้างกำไรและยอดขายได้ดู หรือพวกกลุ่มที่ให้เช่าที่ต่างๆถ้าอะไรดีดี ก็สามารถปรับราคาค่าเช่าได้เลยโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ต่างากพวกกลุ่มโรงไฟฟ้าหรืออุตสหกรรมอื่นๆที่ที่หลายคนมองว่าก็มีศักภาพในการเติบโตสูง แต่การจะเติบดตมันต้องใช้เงินไปลงทุน ขยายนู่นขยายนี่เต็มไปหมด การเพิ่มกำลังการผลิตแต่ต้องทุนแบบนี้ดู PE ก็จะดี
หรือดูกลุ่มหุ้นไซเคิล แบบนี้ก็ดู PE ไม่ได้ เพราะช่วงที่มันกำลังมาทุกอย่างมันก็วิ่งไปพร้อมๆกัน จาก PE สูงๆช่วงไม่ดีก็ลดลงฮวบฮาบ กำไรโตมหาศาลแต่เวลาหายก็แย่เลยเหมือนกัน
ถามถึงหุ้น MBK
ดร.ตอบ ผมก็มองว่าเปนหุ้นที่มีปันผลค่อนข้างดี สม่ำเสมอ มีรายได้จากค่าเช่าซึ่งมันเสถียร ไอ้ที่มันขายข้าวก็ไม่เท่าไหร หลักๆคือตัวอสังหามาบุญครองเอง ดีลขายหุ้น TCAP ที่จะเอาเงินไปซื้อที่ดินที่ค่อนข้างดีเพราะที่ที่ซื้อมันก็มีคนเช่าแล้ว แต่ไอ้ที่ไม่ดีกคงจะเป็นข่าวแว่วๆว่าจะไม่จ่ายปันผลรอบนี้เพิ่ม เพาะจะเก็บเงินสดไว้ลงทุน ซึ่งผมเองก้ไม่ซีเรียสไรมากเพราะไอ้ที่ลงทุนมันก็เห็นกำไรแน่ๆและผลตอบแทนที่ได้ก็ค่อนข้างสูง ต่างจากหลายๆบริษัทที่มันลงทุนแล้วแย่ๆ แต่เดี๋ยวต้องขอไปบ่นเรื่องปันผลหน่อย T_T ส่วนเรื่องที่คนกลัวว่าพอห้างไปสร้างกระจุกตัมันจะแย่งกันเอง ผมก็มองว่ามันก็เป้นข้อดูที่จะดึงดูดคนให้เข้ามามากขึ้นแบบเป้นแหล่งชอบปิ้งอะไรประมาณนั้น ยังไงพวกอสังหากลางเมืองมันก็ยังไปได้เรื่อยๆ
ถาม กรณีธุรกิจที่มีรายเดียวในไทยเช่น TTW AOT จะเทียบยังไง
ดร.ตอบ อันนี้ก็ต้องดูราคา พวกนี้มันถูกคบคุมโดยรัฐ ซึ่งมันก็โตได้แต่ไม่มากจะเอากำไรเยอะๆคงไม่ได้ แถมหลายๆบริษัทก็มีปัยหาเรื่องธรรมภิบาล เพราะมันมีการเมืองเข้าแทรงแซงตลอด พวกนี้ไม่สนใจกำไรเท่าไหร ก้เหมือนๆกับหุ้นสมปะทานหลายๆตัวจะทำธุรกิจเอากำไรเต็มแม็กไม่ได้ พวกนักลงทุนก็ต้องทำใจ เราก็ดูราคาเป้นหลักไปแล้วกัน ถ้ามันถุกมากๆก็น่าสนใจ อย่างผม ซื้อ aot ตั้งแต่ 10 บาทกว่าไปจนเกือบ 20 บาทแล้วก็ขายตอน 38 บาท ซึ่ราคาตอนนี้มันถูกมากก็เลยกู้เงินมาซื้อเพราะไม่มีความเสี่ยงหรือมันน้อย
ส่วนที่จะไปดูราคาบุคอันนี้ก็ต้องคิดดีดี บางทีก็คิดม่ได้อย่า AOT ที่สร้างสุวรรณภูมิมันก็เพราะรัฐอยากได้สนามบินดีดี ราคาก็พออยุ่ได้ ราคาบุคผมก็มองว่าไม่ใช่ราคาแท้จริง เช่นพวกน้บอกว่าลงทุนไป หมื่นล้านจิงๆมันอาจจะแต่ เจ็ดพันกว่าล้านก้ได้ที่เหลืออาจเป็นแค่ลม 25-30%เป็นค่าคอมมิสชั่นที่เรารู้ๆกันอยู่ ก็ดูรถเข็นบ้าไรคันละสามหมื่น
ถาม SF เป้นไงบ้างค่ะ
ดร.ตอบ เป้นตัวเล้กที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ส่วนตัวก็มอง MBK รึ CPN ดีกว่า ส่วนไอ้กรณีปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ว่าจะมีไอ้นู่นไอ้นี่เพิ่มเข้ามา แบบนี้ต้องระวังว่ามันเข้ามาจริงรึแต่งๆกันไปเอง เรื่องไอ้ที่ไปร่วมทุนทำโครงการใหม่ๆ ก็ต้องระวังถ้าสนใจก็ให้ดูไปก่อน อย่างตัวเอสพลานาดค่าเช่าเป้นไง เห้นคนก็เดินไม่มากแล้ว SF ก็ไม่เคยทำโครงการอะไรใหญ่ขนาดนี้มันจะบริหารจัดการยังไงถึงจะร่วมทุนกับไอเกียที่ว่าเก่งๆก็ต้องระวัง เมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าชอบแนวนี้ก็ลองดู MAJOR ก็น่าจะดีกว่า ธุรกิจก็ขนาดใหญ่กว่าชัวร์กว่า กลุ่มนี้ถ้าจะเลือกตัวรองๆไม่ค่อยน่าสนใจ เพราะธุกิจประเภทนี้มันจะทำไรไรแบก้าวกระโดดที่ละเยอะๆไม่ค่อยได้ เจ้าตลาดก็ยังคงเป้นเจ้าอยู่
จากนั้นเป้นช่วงออกอากาศนะครับ สรุปได้ดังนี้ครับ
ถาม VI นี่จะมีคนเยอะไปถึงไหน
ดร.ตอบ ผมก็มองว่า VI มันก็คงจะโตไปรื่อยๆแต่เมือ่ไปถึงจุดนึงมันก้จะหยุด มีคนเข้า คนออก ไม่โกรท ซึ่งมันก็เปนเหมือนกันทุกที และ VI ก็ไม่ได้ครองตลาด แต่ก็มีหุ้นบ้างตัวที่เราก็ไปมีอิจธิพลทำให้ขึ้นลงได้อยุ่บ้าง 555 แสดงว่าเงินพวกเราหลังๆก็คงเยอะอยู่
ถาม วิกฤติยุโรปรอบนี้ เป้นอย่างไร
ดร.ตอบ ตอนี้ก็เริ่มนิ่งๆ แต่ถ่มว่าผ่านไปหรือยังอันีผมก็ไม่แน่ใจ เพราะประวัติสาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยมีวิกฤติครั้งไหนที่มันจะจบเร็วๆแบบนี้แบบ 1 ปี จบ อย่างรอบเมกา ก็ตั้ง 2-3 ปี รอบไทยก็ราวๆนี้ แต่ถ้ากรีซจบได้ใน 1 ปีจริงๆก็สุดยอดมาก ในช่วงเมกาก็เหมือนกนตอนปีแรกผ่านไปหุ้นก็ขึ่นแรงเพราะคนก็ว่ามันจบแล้วหลังจากนั้นก็เน่าสนิทจร 2 ปี ไทยก็อาการคล้ายๆกัน ก็ให้เราระลึกถึงบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้มองแง่ร้ายไปบางที่ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอย
ถาม กลุ่มยานยนต์เป้นยังไงครับ
ดร.ตอบ ค่อนข้างดี ไทยนี่ค่อน้างประสบความสำเร็จในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ของโลก โลกทุกวันนี้มันก็เสรีมากขึ้นพรมแดนไม่มีการย้านฐานมาผลิตอีโคคาร์ที่ไทยก็ทำได้สบายๆก็น่าจะไปได้ ที่ถามว่าหุ้นรถยนต์ตัวไหนสุดยอดก็ตอบยาก แต่หลายๆตัก็ยังไม่แพง ก็ก็ต้องใจกลุ่มนี้ที่กำไรรอบนี้กระโดดเพราะมันอัดอั้นมา ถ้าภาวะปกติจะเอากำไรโตมากๆก็ไมได้เพราะมันเปนการรับจ้างเค้าผลิต ไอ้คนสั่งมันก็รู้ดี จะไปเอากำไรมากๆก็เลยไม่ได้ ซึ่งอาจารย์ก้ได้ฝากข้อคิดไว้ว่า
“การลงทุนในหุ้นเราต้องรุ้ว่ากำไรของบริษัทที่เราไปลงทุนธุรกิจด้วยมันมีโอกาสทำกำไรหวือหวาแค่ไหน รึเป็นแบบไปเรื่อยๆ”
ถาม CPN
ดร.ตอบ ถ้าโดยศักภาพก็ไม่แพงเท่าไหร แต่ไอ้ปัยหารอบที่ผ่านมาราคาลงไม่มาก ผมตั้งราคาไว้ที่ฟอลมันก้ไม่ลงมาแต่ลงไปแค่ 7% เท่านั้นเองเลยไม่เอา เพราะยังไงก็รุ้ว่างบไตรมาสนี้และอีกหลายๆไตรมาสคงไม่น่าประทับใจ ก้เลยรอไปก่อน กำไรยังไม่มาแต่คนคาดหวังว่ามันจะฟื้นแบบนี้น่ากลัวตรงที่ถ้าเกิดวิกฤต ศก หุ้นพวกนี้มันจะลงไปก่อนและลงแรงเราก็รอไป ต่างจากพวกบริษัทที่ประกาศมีกำไรแน่นอนพวกนี้เวลาตลาดวิกฤติจะลงช้ากว่าชาวบ้านเค้า
เรือ่งประกันภัยที่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะจ่ายกันยังไง เพราะต้องอาศัยการตีความผมก็มองว่าเป็นจราจล ก็คงได้เงินจากตรงนี้ไม่เยอะเท่าไหร แต่ที่ผมเข้าใจว่าลงไม่เยอะรอบนี้เพราะคนมองว่ามันมีศักยภาพอยู่ แต่ก้เรียนรู้ว่าจะมีปัญหาชั่วคราวแบบ 6 เดือนก็กลับมาเป้นปกติคนก็รอได้เพราะเป็เหตุการณ์ครั้งเดียว ซึ่งผมก็ว่าไม่ชัวร์นะรอบนี้
(อันนี้ไมแน่ใจครับต้องรอคนอัดเสียงมาคอนเฟิม ผมหูอื้อไป 555ว่าอาจารย์แกว่า ไม่ใช่ รึไม่ชัวร์)
ถาม MINT
ดร.ตอบ ตอนนี้ก้ยังไม่มีข่าวดีอะไรแต่งบรอบนี้คงเละ เพราะยังไงท่องเที่ยวไทยก็คงยังไม่กลับมาดีพอ พอมาดูที่แวลุเอชั่นก็สูงมากคนคาดหวังเยอะ PE สูงกว่าเพื่อน เมือ่เอามาเทียบๆกับ CPN มูลค่า 4 หมื่นล้าน MINT 3 หมืนกว่าล้าน ไอ้มินต์นี่ก็ไม่ถูกเท่าไหรยิงเอาไปเทียบกับ CENTEL ยิ่งคนละเรื่องทั้งที่ ทั้งสองตัวนี้ โรงแรมก็มีเหมือนๆกัน ห้องพักก้ไม่ห่างกันมาก ทำเลก้ดีทั้งคู่ CENTEL อาจแพ้ด้านอาหารก็ไม่น่าจะห่างกันขนาดนี้ เพราะ CENTEL มูลค่ามันอยู่แค่ 4-5พันล้านเอง ถูกว่าเยอะ
ถามเพิ่มเติมเรื่องเทียบ มาเกตแคป อาจารย์อธิบายว่า มันก็ลองเอามวยมาชกให้ถูกคู่ว่าศักยภาพมันสูสีแข่งกันได้ไหม อย่ากรณีที่แล้ว MINT กับ CENTEL ที่ผมก็มองว่ามันพอพอกันทั้งห้องพัก ทำเล แต่ตัวหลังอาจแพ้เรื่องอาหารนิดหน่อย แต่ CENTEL กลับมาเกตแคปถูกกว่ากันหลายเท่า ทั้งที่มันแข่งกันได้ คุณจเลือกตัวไหนละ แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ดีทั้งคู่ข่าวดียังไม่มาก็รอไปก่อนได้ใจเย็นๆ พวกนี้ลงทุนเยอะสร้างโรงแรมที กำไรก็ไม่ได้มากอะไร ยึ่งถ้ช่วงไหนศกไม่ดีแข่งกันดุเดือดนี่ น่ากลัว ลำบาก
ถาม เฮมราช
ดร.ตอบ ตัมนี้ผมก็ไมได้ตาม อยู่ดีดีมันก้โผลมา ที่เล่นข่าว ตั้งโรงไฟฟ้าขายไฟให้การไฟฟ้าได้ราคาที่กำหนด ผมก็ว่ามันก็เฉยๆ เพราะไม่ว่าที่ไหนตั้งโรงไฟฟ้ามันก้ขายให้การไฟฟ้าอยุ่แล้วนี่ แล้วไอ้ข่าวคอนโดที่ขายไม่ค่อยได้แล้วก็มาให้ข่าวว่ายิ่งโอนช้ายิ่งดีเพราะมูลค่าห้องก็จะแพงขึ้นงี้คุณก็เป้นไว้ตลอดชาติเลยดิ ไม่ต้องขาย 5555 จะดูไรให้ดูดีไปได้ แต่ที่น่าสนใจก็ลองไปดูพวกที่มันจะทำพวกผิตไฟฟ้าจากเขื่อนนี่ ผมว่านาจะดีเพราะตนทุนต่ำ แต่โดยรวมๆธุรกิจนี้ก้ยังไม่ดีเท่าไหรสำหรับตอนนี้
ถาม BCP
ดร.ตอบ ตัวนี้ผมก็เริ่มมอง ที่สนใจคือมีเงินสดประมาณ 3-4 พันล้าน หนี้แค่ 1 หมื่นล้าน มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้าน มีหุ้นกู้แปลงสภาพอยู่ใช้สิทธิที่ราคา 17-18 บาทอันนี้ผมไม่แน่ใจแต่ถ้าราคาแถวนี้คงไม่มีใครแปลง ผู้ถือหุ้นเดิมก็น่าจะได้ประโยชน์ เมือ่เทียบกับ เอสโซก้ดูโอเคกว่า กำไรปีละสามพันล้าน ปันผลที่จ่ายก็น่าพอใจ ยอดขายปีละตั้งแสนล้าน ราคานี้ก็แค่ 0.6 ของบุคทรัพย์สินก็คุณภาพโอเคไม่น่ากลัวอะไร ยิง DR1 ก็ยิ่งสบายใจ
แต่ที่ไม่ไปไหนก็งเป้นพราะ มันเป้นพวกหุ้นวัฏจักร ขึ้นลงมันหวือหวา ตัวนี้มันเนิบๆ คนเล่นหุ้นแนวนี้คงไม่สนใจ ไปเล่นตัใหญ่ๆเหวี่ยงแรงๆดีกว่า แบบเล่นคิดจะเล่นเสียผาดโผน ก็เล่นโรเลอโคสเตอรืไปเลยไม่มาเล่นอะไรเด้กแบบนี้
ถาม BTS
ดร.ตอบ ถ้าพูดจริงๆก้เหมือนกันหุ้นใหม่เข้าตลาดเอา BTS เข้ามาเพิ่มในธุระกิจ อยุ่ห่างๆมันไว้ดีกว่า ราคามันก็โอเวอร์มากตอนนี้ แถมเจ้าของคนี้ ก็ไม่ได้มาแจกของหวานๆให้แน่ 555
ถาม TCAP
ดร.ตอบ ดูจริงๆก็ต้องบอกว่าถูก ประสิทธิภาพในการทำกำไรก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนที่ทำก็ใช้ได้ แต่ก็เหมือนกับเป็นหุ้นไม่มีเจ้าของจริงๆ แล้วกองทุนใหญ่ๆยังไม่ค่อยมอง ถ้ากองทุนขนาดกลางหรือเล้กบางกองก็สนใจตัวนี้นะผมว่า แตราคาก้ขึ้นมาพอสมควรเลยตอนนี้โดยรวมถือว่าดูดีพอใช้ ณ ราคานี้
ถาม IT
ดร.ตอบ เป็นหุ้นดีตลอดกาลที่ราคาไม่ไปไหน มีศักยภาพ ตลาดยังมีดอกาสอีกเยอะยิ่งใน ตจว ปันผลก้เกือบ 100% แต่ราคาก็ไม่ไปไหน ผมก็มองโตปีละ 15% ไม่ค่อยพลาด แต่ก็คงเหมือนกับหุ้นดีที่ไม่เซ็กซี่หรือหวือหวา ถ้ามีเงินเหลือๆไม่มีเป้าหมายตัวนี้ก็ให้กินปันผลเรื่อยๆ
ถาม SVOA
ดร.ตอบ ก็เป้นหุ้นถูกอีกตัว เฉพาะมูลค่าที่ถือใน IT ก็คุ้มราคาหุ้นแล้ว ถ้าซื้อก้เหมือนได้ธุกิจมาฟรีๆ แต่ก็ต้องดูเพราะเป้นพวก Holding Compa ธุระกิจจริงๆไม่ไปไหนเท่าไหร ผมก็ขาดทุนตัวนี้อยู่แต่ตอนที่ซื้อก็เพราะเห็นถือหุ้นใน IT ซึ่งตัวนี้จิงๆมันมี 3-4 ธุรกิจซึ่งไม่เคยมาดีพร้อมๆกัน ยกเว้น IT ถ้าเกิดวันไหนมันเกิดดีพร้อมกัน ก็น่าลุ้น
ถาม ทาสโก้ TASSCO
ดร.ตอบ ผมก็ไม่ค่อยได้ตาม หลังๆที่ราคามนดีเพราะโครงการไทยเข้มแข็งมันละลาดยางสามพันโลก้เลยขายดีเป้นพิเศษ เพราะนักการเมืองไทยชอบลาดยาง.....
ถาม THANA
ดร.ตอบ อันนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ตามไอ้การเล่นข่าวราคาประเมินที่ดินที่ภูเก็ต ก้ได้ 600-800 ล้านแล้วมาเกตแคปตัวเอง 900 ล้าน ก็มองว่า ดูดีดี หุ้นแบบนี้มีเยอะ อย่าง TMD ก็มีที่ดินเพียบแค่มูลค่าที่ดินก็ท่วมแล้วแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถ้าเจ้าของจริงๆไม่ทำไรหรือไม่ใส่ใจบริหารก็ไม่เกิดประโยชน์ ต่างจาก MBK ที่มันเอาที่ดินมาสร้างมุลค่าหารายได้ตลอด ชาญอิสระก้เหมือนกัน มาเกตแคป 400 ล้าน แต่ถ้าเอาโครงการมารวมๆก็ปาไป 800 ล้านแต่ราคาก็ไม่ไปไหน ไอ้ตัวที่ผมพลาดก้ SSC ที่ราคาที่ดินที่มันทับไว้ก้ท่วมราคาหุ้นไป 3 เท่าแต่ธุรกิจหลักๆก้ธรรมดาโตเรื่อยๆ ซึ่งผก็ว่าวันนึงบริษัทแม่มันก็น่าจะมาซื้อคืนไป ก็ไม่ได้ซือ้เพราะเบื่อเลยไม่ทัน เพราะตอนนั้นมันชอบอารมณืหุ้นที่เล่นแล้วได้เสีย
ถาม JUBILE
ดร.ตอบ ผมก็ว่า CFO เค้าก็คงมีคนหมายๆไว้แล้วอายุก็ขนาดนี้แล้ว ส่วนเรื่องธุกิจมันก็เป้นแบบไปเรื่อยๆ ไมได้โดดเนไร เพราสินค้ามันก็ไม่ต่างจากคู่แข่งเท่าไหร แถวคู่แข่งก็เยอะมาก มันต่างจาก IT ที่มันวางโพซิชั่นไว้ต่างจากรายอื่นๆ การเติบดตด้าน IT ก็เยอะกว่า ส่วนเพชรมันเปนธุรกิจที่เก่า ไม่มีใครอยุ่ดีดีก็แห่ไปซื้อเพชร ไม่เหมือนแห่ไปซื้อมือถือ แล้วก็ต้องดู ศก รสนิยมของคนด้วย ด้านความโปรงใสก็ดูไว้แต่ไม่เกี่ยวกับบริษัทนี้นะเพราะพวกฟองเงินก็ชอบฟอกผ่านวิธีนี้
ถาม JMART
ดร.ตอบ ตัวนี้ผมพึ่งซื้อไป เมือ่ 2 วันที่ผ่านมา (น่าจะเป็นวันพุธ) ที่ผมสนใจเพราะมันคล้ายๆ IT แบรนด์ค่อนข้างดีเหมือนกัน สินค้ามีหลากหลายในร้าน มีมาตรฐาน ไว้ในได้ แบบ IT CITY ไม่ต้องกลัวจะหลอกขายของให้คนไม่ค่อยรู้ แล้วคนก็เปลี่ยนมือถือบ่อย มีโอกาสไปบุก ตจวได้อีกเป็นโอกาสโต ต้นทุนก็ได้เปรียบนิดหน่อยในฐานะเป้นผู้นำ ที่แปลกๆสนใจก็คือธุรกิจรับจ้างทวงหนี้ที่สร้างรายได้ใหม่ กับเซ็งที่แล้วให้คนอื่นเช่าต่อเก็บค่าเช่าขายของ
1 มีความสม่ำเสมอของรายได้ ย้อนไป 12Q กำไร 20-30 ล้านปีละ 80-90 ล้านไม่ค่อยพลาด
2 มาเกตแคป 600 ล้านหน่อยๆ PE 7 เท่า ยอดขาย 6 พันล้านก็โอเคอยู่
3 ปันผล 70% ของกำไรก็ตีซะ 10% ที่ได้
ถ้ายังมีไรเอา 10%ได้ก็โอเค แต่ติดที่มีหนี้สินระยะสั้น 700 ล้านแต่ก็ยังไม่คิดมากเพราะป็นหนี้สินจากการค้าปกติ พวกซื้สด ขายสด ขายผ่อน มีสตอกสินค้าล้าสมัยแต่ JMART ก็จัดการได้ดีดูจากยอดขาย สินค้าสมัยตัวไหนใกล้ตกรุ่นก็รีบลดราคาระบายสินค้าที่ผ่านมาทำได้ดี ตอนที่งบออกคนผิดหวังกำไรเยอะเลยราคาลงแรง ผมก็เลยได้มา 6-7 ล้านหุ้น ถ้าราคาเหมาะสม PE 10 เท่า ก็น่าจะได้อยู่ ถ้าสนใจก็ดูตัวดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยแต่ปติตัวนี้คงโดน 5-6% อยุ่แล้ว เวลาปรับดอกที่ 1 ช่อง 0.25 ก็ไม่น่ากระทบไรมาก
ถาม KIAT
ดร.ตอบ วิจารณ์มากๆไม่ดี เดี่ยวหลยคนไม่พอใจ กำไรที่ประกาสออกมาก้ดีมาก แต่ต้องดูราคากับบุคตอนนี้ด้วยว่ามันเท่าไหร ไอ้ส่วนที่เกินบุคมามันเรียกว่าค่าพรีเมี่ยมที่ตัวนี้มีเยอะมากๆพอพอกับ CPALL ก้เลยคิดว่า บรัทรับจ้างขนส่งแบนี้มันมีอำนาจต่อรองขนาดนี้เลยหรอ
ถาม ซิงเกอร์
ดร.ตอบ เมือ 10 ปีที่แล้วมันเป้นธุรกิจที่ดีเยี่ยม มีกูตวิลที่ดี ขายผ่อน ตจว ที่ดีมาก คุมหนี้เสียได้ดี พนักงานรู้จักคนในหมู่บ้านทุกคน ก้ขายจัรเย็บผ้า แต่อะไรที่มันดีมาๆกำไรมันแน่นอนนิ่งๆ อยุ่มาก็อยากโกรท เลยไปขายมอไซต์ก็เลยเจอพิษวะย่ำแย่หนี้เสีย ตอนนี้แก้ปัญหาได้ก็เริ่มกลับมาใหม่ตอนนี้จับธุรกิจแอรื ซึ่งอยู่กับบ้านไม่หายไปไหน แล้ว ตจว ก็เริ่ดแอร์มากขึ้น ตลาดใหญ่ เติบโตดี ไรเพิ่มแน่นอน แล้วพึ่งเริมจับ ปีแรกๆไม่มีหนี้เสียมาให้ปวดหัวเพราะแอร์ใหม่ๆคนไม่ค่อยเบี้ยว แต่ถ้าสนใจก็ต้องดูพวราคาสินค้าเกษตรไว้ด้วย พวก ข้าว ยางเพราะเป้นกลุ่มลุกค้า สินค้าเกษตรดีก็มีตังจ่าย เกดราคาแย่ พวกนี้ไม่มีตังก็เหนื่อย ส่วนเรื่องความชำชาญที่คุยๆว่ารู้จักรคนดี ก็แค่รู้จัก รุ้จักดีขนาดตอนทำมอไวต์มันยังหนีได้อันนี้ก็คิดๆไว้
ถาม SMT HANA
ดร.ตอบ กลุ่มนี้มันหุ้นเซ็กซี่ ขึ้นลงแรงเหวี่ยงๆหลายคนชอบ ช่วงดีก็ราคาไปไว ช่วงไหนไม่ดีก็ลงแรง ต้องดุด้วยเพราะผมก็ฟังมาเยอะแต่ละบริษัทก็ว่าตนเองผลิตได้เจ้าเดียว ก็เอาเข้าจริงมันก้คือการรับจ้างของเขา แล้วอิเล้กมันก็มีขึ้นลง ไม่มีอะไรที่ทำยากมากจนคนอื่นทำม่ได้ ไม่มี เป้นข้อสังเกตุ
ถาม CSL
ดร.ตอบ ทำอินเตอร์เนท ข้อดีอย่างเดียวคือผู้บริหารดูแลผู้ถือหุ้นดีมาก เงินมาเท่าไหรก็ปันผลหมด แต่ตอนนีมันก็ซีดจนผอมแล้ว ต้องระวังวัวตัวนี้จะค่อยๆผมอหายไป เพราะในระยะยยาวก็ไม่ร้ะพัฒนาธุรกิจไปทางไหน
ถาม KK
ดร.ตอบ แบงคืเล้กที่ดูเหมือนถูกประทับใจ ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัยหาอะไร แต่ต้องดูเรื่องถ้าเกิดวิกฤติ พวกนี้จะไปก่อนและแรง
ถาม AOT
ดร.ตอบ ผมก็รออยู่ ถ้า 30 ลงไปผมก็ว่าจะซื้อ แต่ก้ไม่ลงมาซักที ศักยภาพก็ไปได้แต่ชวงนี้ข่าวดีก็ยังไม่มา มีการเมืองเข้ามาเอ่ยว โครงการลงทุนเยอะ ล่าสุดก็มีข่าวจะลดค่าบริการนู่นนี่มากมายยังกะไม่ใช่เงินตัวเอง ซึ่งผู้ถือหุ้นจะซื้อก็คิดมาก มันดูไม่ผมเหตุสมผล รถเข็นก็คันละ 2 หมื่นกว่าบาทแพงเกิน แต่ก็ต้องทำใจ ถ้าจะเล่นหุ้นแนวนี้
ถาม PM
ดร.ตอบ ไม่ได้ติดตามเป้นธุระกิจไม่มีน่าประทับใจสำหรับอาจารย์
ถาม BOL
ดร.ตอบ มั่นคง แต่ตอนนี้ก้เริ่มนิ่งๆ ปกติไม่ค่อยมีวอลลุ่ม การเติบโตมีจำกัดกำไรน่าจะลดลง ขายข้อมูลในไทยยังไม่แพร่หลาย แต่ถ้า PE ต่ำกว่า 10 เท่าก็พอได้อยุ่น่าสน
ถาม SYNTEC
ดร.ตอบ ธุกจรับเหมาเหนื่อยเหมือนกัน โครงการเพีบ แบลลอกพียบ แต่กำไรไม่ค่อยมี ยิ่งรับงานราชการจะเป้นสีเท่าๆ มีนอกมีใน อย่างชีทพายที่ตอกให้ดินแน่นมันอยู่ใต้ดิน ผู้สอบบัญชีจะตรวจยังไง เหล้กเส้นอีก อนาคตธุรกิจก็ไม่แน่นอน บางก็ก็งานเยอะสบาย บางปีไม่มีงานก็เหนื่อย
ถาม SYNEC
ดร.ตอบ ขายอุปกรคอม พวกนี้ใช้เงินเยอะซื้องินสด ขายเงินผ่อน คล้ายเจมาทแตลงทุนเยอะกว่า เพราะมีขายส่งด้วย บางทีเจอลุกค้าซื้อๆๆๆ แล้วหายไปพร้อมกับเงินเรา พวกนี้ขายสินค้าไม่ค่อยมีปัยหามีปัญหาตอนเก็บหนี้นี่แระต้องระวัง มาจินก้บางมาก 2-3%
ถาม ปีหน้าน้ำแล้งซื้อตัวไหนดี
ดร.ตอบ นำแล้งพืชผลเกษตรดีไหมน่าจะแพงขึ้นแต่สังคมไทยเดียวนี้เปลี่ยนไป ไม่ได้ขึ้นอยุ่กับเกษตรกรรม หรือภัยธรรมชาติแล้วจะกระทบชีวิตความเป้นอยู่ เดี่ยวนี้ชาวนาจิงๆก็ไม่ค่อยมส่วนใหญ่กลับไปทำงานปีละ 15 วันนนอกนั้นก็มาเป้นวิน รับจ้าง ทั่วไปมากกว่า ผมก้เลยมองไม่อกมามันจะซื้ออะไรดี
ถาม SIS
ดร.ตอบ ขายอุปกรณ์คอมเมือนกันกับ synec ซึ่งมันก้โยงๆกันอยู่ตัวนี้ให้ระวังความเสี่ยงเพราะ ความเสี่ยต่ำแต่ความเสี่ยงที่มันมเกิดขึ้นแล้วจะเสียหายสูงมาก
ถาม ADVANCE
ดร.ตอบ มีความเสี่ยงเรื่องสัมปะทานเหลืออีก 10 ปี ส่วน 3G ก็ไม่นาจะมีปัยหาออะไร ดูรื่องการเมืองด้วยเริ่เข้ามาแทรกแวงมาก ซึ่งปันผลตัวน้ถือว่าสุงมากเหมือนกัน
ถาม MCS
ดร.ตอบ ก็เป็นหุ้นที่ดี ทั้งที่ธุรกิจก็ไม่ได้มีอะไรยากซับซ้อนอะไร ก็น่าแปลกใจที่มาร์จินเยอะ ก็พิจารณาดูดีดี ว่ามันมีอะไรหือเปล่า ถ้ายังตอบได้ไม่เคลียร์ก็ดูดูกันไป เจ้าของก็ขายเยอะ
ถาม RCL
ดร.ตอบ ตัวนี้ก็น่สนใจ ช่วงที่มันก็แย่จิงๆ ช่วงนี้ผ่านไปหมดแลวก็น่าจะฟื้นตัวได้ พวกนี้มันมีต้นทุนคงที่ที่เหือเป้นกำไรล้วนๆ ก็ลองดูต้นทุนของมันถ้ามีส่วนต่างก็ไปได้แน่ๆ
ถาม BAS
ดร.ตอบ ผมก็มีอยู่นิดหน่อย ซื้อเพราะไม่รู้จะไปลงทุนอะไร เทียบกับ AOT โตพอพอกันปีละ 4-5% มีรายได้แน่นอน ถ้ายอดขายโต 5% กไรจะเป้น 10% การลงทุนอะไรก็ไม่มีการการดูแลรักษาก็ใช้เงินน้อย ถ้ากาบินกลัมาตัวนี้ก้น่าจะไปได้
ถาม BLA
ดร.ตอบ มองว่าขึ้นมาเยอะเกินไป ธุรกิจถึงจะดีแต่ก้ไม่ควรสูงขนาดนี้ ธุรกิจปรกันไม่ได้กำไรมากกมาย กำไรส่วนใหญ่คือพอตลงทุน มองตัวน้แค่พอใช้แต่ราคา pe แพงไปหน่อย
ถาม IVL
ดร.ตอบ โดยรวมปีนี้กลุ่มนี้ใช้ได้ทั้งกลุ่ม แต่ดูราคาในตลาดสูงไปหน่อยเห้นยอซื้อขายติด top ตลอดเวลามีการเก็งกำไรสูงไปหน่อย ถ้าตัวนี้ก็ลองดูพวก TR TCB(ตัวนี้ไม่แน่ใจครับไม่คุ้น) ก็พอพอกันแต่ถูกกว่า พวกแขกนี้เก่งกำไรไม่ปันผลเอาไปลงทุนต่อ
ถาม IHL
ดร.ตอบ ไมได้ตามเลยตัวนี้เหมือนย้อนกลับไปรู้สึกมีข่าวคาวเยอะไป แล้วแปะหนังจากไทยมันไม่ดีเหมือนหนังจากต่างประเทศเพราะวัวไทยชอบคันแล้วถูๆ หนังเลยหยาบๆ
ถาม อาจารเล็งตัวไหนไว้
ดร.ตอบ ก็ซื้อ JMART ไป ตอนนี้มันติดนิสัยว่าเคยซื้อหุ้นถูกๆตอนนี้ราคาขึ้นมาหมดแล้ว ก็ซื้อไม่ลง ทั้งที่สถานการณืมันเลี่ยนไป
ถาม BEC
ดร.ตอบ มารเกตแคปสูงมาก สุงทุกอย่าง ธุรกิจมันก้ดูตันๆ วื่อื่นๆเยอะขึ้นคนรุ่นใหม่ก็ติดเน็ทมากกว่าทีวีแบบลูกสาวผม แต่ตอนนี้ก็ยังรักษาระดับพวกกำไรได้ดีแต่ พอมองระยะยาวๆก็มองไม่ออก
ถาม CPF ที่ไปลงทุนในจีน
ดร.ตอบ น่าจะเป้นการลงทุนส่วนตัวไม่เกี่ยวกับตัวนี้ครัเจ้าของนี่มีบริษัทส่วนตัวแยกกันเยอะ
ถาม อาจารมองตัวไหนเป้นซุปเปอร์คอมปานี
ดร.ตอบ ก็พวก CPALL BEC CPF CPN HMPRO บำรุงราษอีกตัว
ถาม ถ้ามีแต่ตัวแพงๆ อาจารยืแนะนำยังไงดี
ดร.ตอบ ถ้าหาไรไม่เจอก็ดูปันผลล้วกัน อย่างผมี MBK 70 บาท 60 บาท ตอนนี้ 80 บาทก็ถือว่าขึ้นไม่เยอะ ตัวดีดีที่เล้งไว้ราคาก็ยังไม่ลงมาอย่าง บำรุงราษ ก็ pe 20 เท่า ดีแต่ไม่ถูก ข้อจำกัดการลงทุนก้เยอะเลยดุไปก่อน
ถาม เวลาหุ้นตกแรงๆอาจารย์จัดพอตยังไง
ดร.ตอบ ไม่ค่อยตกเยอะตัวที่ผมถือๆ เพราะเวลาเราซื้อเราก็เลือกหุ้นที่ค่อนข้างทนมาอย่างดี ลงมาก็ไม่รู้จะขายทำไม แต่ถ้าตัวที่ไม่ทีลงแรงๆก็คงกู้มาซื้อเพิ่ม รอบนี้เปนครั้งแรที่มีเงินเหลืออยุ่เยอะแต่ไมรู้จะซื้ออะไรซึ่งแปลกมากๆเลยซื้อตัวเล้กตัวน้อยรอไปก่อน
ถาม KTC
ดร.ตอบ ราคาก้ลงไม่ลงต่ำกว่า 10 บาท แต่ระยะยาวน่าจะกลัมาได้ ดูจมาเกตแคป ยอดขาย ลุกค้าเป้นล้านคน ถือว่าถุกมากก็ค่อยๆรอวลาไปก่อน ยิ่งบุคของพวกธนาคารการเงินด้านน้จะเป้นบุคจิงๆ ไม่เหมือนของหลุ่มโรงงานที่หักค่าเสื่อมค่าไปมากมาย กบุ่มสถาบันการเงินพวกธนาคาร ควรยู่ที่บุคระมาณ 2 เท่า ถ้าแบงค์เล้กๆก็ลดลงมาหน่อย PE ไม่ค่อยเท่าไหร อย่างกรนี SCIB ที่ต่ำบุคก็ไม่ขายต้อง 1.5 เท่าถึงคุยได้
ถาม TTW
ดร.ตอบ ตัวนี้ก็ใช้ได้แต่ผลตอบแทนจากโครงการในอนาคตคงไม่มากเท่าปัจจุบัน แล้วการจะเพิ่มยอดขายก็ต้องลงทุนเยอะ มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณน้ำ ก็ต้องดูด้วย พื้นที่ด้วย เดิ่มที่กำไรเยอะเพราะตอนเซ็น สัญญาอัตราดอกเบี้ยหรืออะไรต่างๆมันอยู่ในระดับสูง ถ้าเปิดโครงการตอนนี้ก็คงไม่ได้สุงขนาดนั้น
ถาม IRC
ดร.ตอบ จริงๆไม่แพงแต่ไม่หวือหวา มาจิน ROE ดีมาก ผู้บริหารก็ดี ก็ก้เหมือผู้หญิงสวยไม่เซ็กซี่
ถาม PICO
ดร.ตอบ ธุรกิจนี้ปีนี้เหนื่อยแน่ จราจลเยอะ คู่แข่งเยอะ ธุรกิจแรงงาน มีคนมากไม่มีงานก็แย่ ถ้าไม่มีพาทเนอร์รายใหญ่สนับสนุน ก็ลำบาก CMO ก็เหมือนกัน ผมเลยขาย
ถามเรืองเทรนตลาด
ดร.ตอบ ถ้าทุกอย่างจบจริงๆก็มีดอกาสเจอกระทิงเถือ่น เพราะตอนนี้ตลาดรที่ยบกับเพื่อนบ้านมันต่ำไปคนอื่นเค้าไปไกลกันหมดแล้ว แต่ถ้าเรามองภายในของเราเองราคาตอนนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน กลางๆ ตอนนี้การลงทุนเปลี่ยนไปไปเนนในประเทศที่มีประชากรเยอะๆ มีการบริโภค แรงงานเยอะ ซึ่งเมือ่ก่อนมองว่าคนเยอะถ่วงความเจริญ
ถาม STA
ดร.ตอบ ราคายางก็ขึ้นมาพรวดๆกำไรก็ดตมาก แต่ก็ไม่ปันผลออกมาก ก็เล่นเป้นรอบๆไป
ถาม โกลเบิล เทียบกับโฮมโปร
ดร.ตอบ ไม่น่าจะเป้นคู่แข่งโฮมโปรเพราะโกเบิลเน้นขายกลุ่มก่อสร้างตรงๆ วึ่งก็มีบุญถาวรมาแจมอีกตัว แต่สังเกตุ โฮมโปรเป้นหุ้นที่เติบโตมาเป้นระยะเวลานานกว่า 10 ปี น่าจะเป็นซุปเปอรืคอมปานีได้ เรื่องของราคาก็ลองดู บัฟเฟด ที่พึ่งซื้อวอลมาลเมือ่ 2 ปีที่แล้วหลังจากดูมา 20 ปีก็เห้นว่ามันยังแพงๆเลยไม่ได้ซือ้ก็พึ่งตัดสินใจได้
ถาม TPIPL
ดร.ตอบ อย่างไปยุ่งกับเค้าเลย
ถาม การมองหาหุ้นการเลือกหุ้น
ดร.ตอบ ก็ลองทำตารางเชคลิสออกมาดูแล้วเทียบกันว่าวไหนเปนอย่างไง ดูธุรกิจ ดูPE ดูราคา ดูงบ แล้วดูว่าตัวไหนได้คะแนนเต็ม หรือสูงสุดก็ซื้อ ถ้าคิดว่าระยะยามดี ก็ค่อยๆซื้อไปเรือ่ยๆเฉลี่ยๆไปได้ถูกบ้างแพงบ้างแต่สุดท้ายก็คือกำไรในอนาคตที่เราคาดไว้
ขอถามคุณแชมป์หน่อยนะครับ ว่าอาจารย์พูดถึง JMART ว่าจะโตได้จากอะไร เพราะผมเองก็คิดว่าเรื่องมือถือ ตอนนี้มีกันคนละเครื่องกว่าๆแล้ว ถ้าโตได้ก็น่าสนใจมากเลยนะครับ เพราะราคาหุ้นไม่แพงเลย
อาจารย์ว่ามันโตเรื่อยๆครับแล้วมือถือก้เปลี่ยนบ่อย อ้อ ตกประเด็นไป JMART รอบที่ผ่านมามันลงทุนผิดพลาดกับ เจโฟน ด้วยนะครับทีขาดทุนเยอะหน่อยเพราะมองตลาดคนไทยผิดไปที่เอาเครื่องที่คุณสมบัติเยอะๆแล้วราคาถุก โฆษณาหน่อยๆจะขายได้ แต่ปรากฏว่าคนไทยติดแบรนด์ เลย ไม่ได้กำไรสนใจ 555 ที่น่าสนใจอาจารย์จะพูดถึงประเดินะรกิจทวงหนี้ที่มีคนอยุ่ 400 คนคอยตามหนี้ทางโทรศัพ ก็น่าสนใจครับตรงนี้ แต่ธุรกิจหลักขายมือถือก้โตเรื่อยๆ ปีปี คนเปลื่อนมือถือเยอะ
เปิดด้วยระหว่างที่ อาจารย์ท่านกำลังทานอาหารก็มีผู้ร่วมโต๊ะได้ถามคำถาม ก่อนดังนี้ครับ
ถาม เหตุการณ์ความไม่สงบรอบนี้กล่มท่องเที่ยวเป็นอย่างไรบ้าง
ดร.ตอบ งบที่จะถึงคงดุไม่ดี แต่เชื่อว่าปลายปีนี้น่าจะกลับมาโอเค ขึ้นแต่ที่สังเกตุดูรอนี้หุ้นลงไมมากเท่าที่ควรเพราะผมมองว่า รายย่อยมีเงินสดอยู่ค่อนข้างมาก พร้อมที่จะซื้อหุ้นตลอดเวลา แล้วปัจจุบันทางเลือกทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโอเคๆก็มีไม่ค่อยมาก พอหุ้นลงคนมันก็เลยแห่ไปซื้อ
ถาม มุมมองของอาจารย์ที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นในการลงทุนครับ
ดร.ตอบ การเลือกหุ้นที่ละลงทุนมันก้มีหลายๆวิธี แตกต่างกัน เช่น พวกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงๆพวกนี้จะดูยึดติดกับ PE ก็ไมได้เพราะกำไรมันโตตลอด PE ที่เห้นมันเป้นของอดีตคุรก็ต้องมองไปข้างหน้า หุ้นกลุ่มนี้ผมก็ให้ความสัคัญคับศักยภาพเป้นหลัก ส่วนอีกแบบคือโตไม่มากรึโตไม่แน่รายได้กำไรทรงๆแบบนี้ก็ดุ PE ที่เป็นอยู่ในขณะนั้นก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไหรแล้วก็ประเมินว่าถูกแพงไหรือยัง
ศักยภาพที่สำคัญที่ผมให้ความสนใจคือการเติบโตของกำไรที่ไม่ต้องลงทุนใม่ๆเพิ่มเช่น CPALL จะขยายสาขาก็ใช้เงินไม่มากนักแต่สร้างกำไรและยอดขายได้ดู หรือพวกกลุ่มที่ให้เช่าที่ต่างๆถ้าอะไรดีดี ก็สามารถปรับราคาค่าเช่าได้เลยโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม ต่างากพวกกลุ่มโรงไฟฟ้าหรืออุตสหกรรมอื่นๆที่ที่หลายคนมองว่าก็มีศักภาพในการเติบโตสูง แต่การจะเติบดตมันต้องใช้เงินไปลงทุน ขยายนู่นขยายนี่เต็มไปหมด การเพิ่มกำลังการผลิตแต่ต้องทุนแบบนี้ดู PE ก็จะดี
หรือดูกลุ่มหุ้นไซเคิล แบบนี้ก็ดู PE ไม่ได้ เพราะช่วงที่มันกำลังมาทุกอย่างมันก็วิ่งไปพร้อมๆกัน จาก PE สูงๆช่วงไม่ดีก็ลดลงฮวบฮาบ กำไรโตมหาศาลแต่เวลาหายก็แย่เลยเหมือนกัน
ถามถึงหุ้น MBK
ดร.ตอบ ผมก็มองว่าเปนหุ้นที่มีปันผลค่อนข้างดี สม่ำเสมอ มีรายได้จากค่าเช่าซึ่งมันเสถียร ไอ้ที่มันขายข้าวก็ไม่เท่าไหร หลักๆคือตัวอสังหามาบุญครองเอง ดีลขายหุ้น TCAP ที่จะเอาเงินไปซื้อที่ดินที่ค่อนข้างดีเพราะที่ที่ซื้อมันก็มีคนเช่าแล้ว แต่ไอ้ที่ไม่ดีกคงจะเป็นข่าวแว่วๆว่าจะไม่จ่ายปันผลรอบนี้เพิ่ม เพาะจะเก็บเงินสดไว้ลงทุน ซึ่งผมเองก้ไม่ซีเรียสไรมากเพราะไอ้ที่ลงทุนมันก็เห็นกำไรแน่ๆและผลตอบแทนที่ได้ก็ค่อนข้างสูง ต่างจากหลายๆบริษัทที่มันลงทุนแล้วแย่ๆ แต่เดี๋ยวต้องขอไปบ่นเรื่องปันผลหน่อย T_T ส่วนเรื่องที่คนกลัวว่าพอห้างไปสร้างกระจุกตัมันจะแย่งกันเอง ผมก็มองว่ามันก็เป้นข้อดูที่จะดึงดูดคนให้เข้ามามากขึ้นแบบเป้นแหล่งชอบปิ้งอะไรประมาณนั้น ยังไงพวกอสังหากลางเมืองมันก็ยังไปได้เรื่อยๆ
ถาม กรณีธุรกิจที่มีรายเดียวในไทยเช่น TTW AOT จะเทียบยังไง
ดร.ตอบ อันนี้ก็ต้องดูราคา พวกนี้มันถูกคบคุมโดยรัฐ ซึ่งมันก็โตได้แต่ไม่มากจะเอากำไรเยอะๆคงไม่ได้ แถมหลายๆบริษัทก็มีปัยหาเรื่องธรรมภิบาล เพราะมันมีการเมืองเข้าแทรงแซงตลอด พวกนี้ไม่สนใจกำไรเท่าไหร ก้เหมือนๆกับหุ้นสมปะทานหลายๆตัวจะทำธุรกิจเอากำไรเต็มแม็กไม่ได้ พวกนักลงทุนก็ต้องทำใจ เราก็ดูราคาเป้นหลักไปแล้วกัน ถ้ามันถุกมากๆก็น่าสนใจ อย่างผม ซื้อ aot ตั้งแต่ 10 บาทกว่าไปจนเกือบ 20 บาทแล้วก็ขายตอน 38 บาท ซึ่ราคาตอนนี้มันถูกมากก็เลยกู้เงินมาซื้อเพราะไม่มีความเสี่ยงหรือมันน้อย
ส่วนที่จะไปดูราคาบุคอันนี้ก็ต้องคิดดีดี บางทีก็คิดม่ได้อย่า AOT ที่สร้างสุวรรณภูมิมันก็เพราะรัฐอยากได้สนามบินดีดี ราคาก็พออยุ่ได้ ราคาบุคผมก็มองว่าไม่ใช่ราคาแท้จริง เช่นพวกน้บอกว่าลงทุนไป หมื่นล้านจิงๆมันอาจจะแต่ เจ็ดพันกว่าล้านก้ได้ที่เหลืออาจเป็นแค่ลม 25-30%เป็นค่าคอมมิสชั่นที่เรารู้ๆกันอยู่ ก็ดูรถเข็นบ้าไรคันละสามหมื่น
ถาม SF เป้นไงบ้างค่ะ
ดร.ตอบ เป้นตัวเล้กที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ส่วนตัวก็มอง MBK รึ CPN ดีกว่า ส่วนไอ้กรณีปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ว่าจะมีไอ้นู่นไอ้นี่เพิ่มเข้ามา แบบนี้ต้องระวังว่ามันเข้ามาจริงรึแต่งๆกันไปเอง เรื่องไอ้ที่ไปร่วมทุนทำโครงการใหม่ๆ ก็ต้องระวังถ้าสนใจก็ให้ดูไปก่อน อย่างตัวเอสพลานาดค่าเช่าเป้นไง เห้นคนก็เดินไม่มากแล้ว SF ก็ไม่เคยทำโครงการอะไรใหญ่ขนาดนี้มันจะบริหารจัดการยังไงถึงจะร่วมทุนกับไอเกียที่ว่าเก่งๆก็ต้องระวัง เมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าชอบแนวนี้ก็ลองดู MAJOR ก็น่าจะดีกว่า ธุรกิจก็ขนาดใหญ่กว่าชัวร์กว่า กลุ่มนี้ถ้าจะเลือกตัวรองๆไม่ค่อยน่าสนใจ เพราะธุกิจประเภทนี้มันจะทำไรไรแบก้าวกระโดดที่ละเยอะๆไม่ค่อยได้ เจ้าตลาดก็ยังคงเป้นเจ้าอยู่
จากนั้นเป้นช่วงออกอากาศนะครับ สรุปได้ดังนี้ครับ
ถาม VI นี่จะมีคนเยอะไปถึงไหน
ดร.ตอบ ผมก็มองว่า VI มันก็คงจะโตไปรื่อยๆแต่เมือ่ไปถึงจุดนึงมันก้จะหยุด มีคนเข้า คนออก ไม่โกรท ซึ่งมันก็เปนเหมือนกันทุกที และ VI ก็ไม่ได้ครองตลาด แต่ก็มีหุ้นบ้างตัวที่เราก็ไปมีอิจธิพลทำให้ขึ้นลงได้อยุ่บ้าง 555 แสดงว่าเงินพวกเราหลังๆก็คงเยอะอยู่
ถาม วิกฤติยุโรปรอบนี้ เป้นอย่างไร
ดร.ตอบ ตอนี้ก็เริ่มนิ่งๆ แต่ถ่มว่าผ่านไปหรือยังอันีผมก็ไม่แน่ใจ เพราะประวัติสาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยมีวิกฤติครั้งไหนที่มันจะจบเร็วๆแบบนี้แบบ 1 ปี จบ อย่างรอบเมกา ก็ตั้ง 2-3 ปี รอบไทยก็ราวๆนี้ แต่ถ้ากรีซจบได้ใน 1 ปีจริงๆก็สุดยอดมาก ในช่วงเมกาก็เหมือนกนตอนปีแรกผ่านไปหุ้นก็ขึ่นแรงเพราะคนก็ว่ามันจบแล้วหลังจากนั้นก็เน่าสนิทจร 2 ปี ไทยก็อาการคล้ายๆกัน ก็ให้เราระลึกถึงบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้มองแง่ร้ายไปบางที่ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอย
ถาม กลุ่มยานยนต์เป้นยังไงครับ
ดร.ตอบ ค่อนข้างดี ไทยนี่ค่อน้างประสบความสำเร็จในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ของโลก โลกทุกวันนี้มันก็เสรีมากขึ้นพรมแดนไม่มีการย้านฐานมาผลิตอีโคคาร์ที่ไทยก็ทำได้สบายๆก็น่าจะไปได้ ที่ถามว่าหุ้นรถยนต์ตัวไหนสุดยอดก็ตอบยาก แต่หลายๆตัก็ยังไม่แพง ก็ก็ต้องใจกลุ่มนี้ที่กำไรรอบนี้กระโดดเพราะมันอัดอั้นมา ถ้าภาวะปกติจะเอากำไรโตมากๆก็ไมได้เพราะมันเปนการรับจ้างเค้าผลิต ไอ้คนสั่งมันก็รู้ดี จะไปเอากำไรมากๆก็เลยไม่ได้ ซึ่งอาจารย์ก้ได้ฝากข้อคิดไว้ว่า
“การลงทุนในหุ้นเราต้องรุ้ว่ากำไรของบริษัทที่เราไปลงทุนธุรกิจด้วยมันมีโอกาสทำกำไรหวือหวาแค่ไหน รึเป็นแบบไปเรื่อยๆ”
ถาม CPN
ดร.ตอบ ถ้าโดยศักภาพก็ไม่แพงเท่าไหร แต่ไอ้ปัยหารอบที่ผ่านมาราคาลงไม่มาก ผมตั้งราคาไว้ที่ฟอลมันก้ไม่ลงมาแต่ลงไปแค่ 7% เท่านั้นเองเลยไม่เอา เพราะยังไงก็รุ้ว่างบไตรมาสนี้และอีกหลายๆไตรมาสคงไม่น่าประทับใจ ก้เลยรอไปก่อน กำไรยังไม่มาแต่คนคาดหวังว่ามันจะฟื้นแบบนี้น่ากลัวตรงที่ถ้าเกิดวิกฤต ศก หุ้นพวกนี้มันจะลงไปก่อนและลงแรงเราก็รอไป ต่างจากพวกบริษัทที่ประกาศมีกำไรแน่นอนพวกนี้เวลาตลาดวิกฤติจะลงช้ากว่าชาวบ้านเค้า
เรือ่งประกันภัยที่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะจ่ายกันยังไง เพราะต้องอาศัยการตีความผมก็มองว่าเป็นจราจล ก็คงได้เงินจากตรงนี้ไม่เยอะเท่าไหร แต่ที่ผมเข้าใจว่าลงไม่เยอะรอบนี้เพราะคนมองว่ามันมีศักยภาพอยู่ แต่ก้เรียนรู้ว่าจะมีปัญหาชั่วคราวแบบ 6 เดือนก็กลับมาเป้นปกติคนก็รอได้เพราะเป็เหตุการณ์ครั้งเดียว ซึ่งผมก็ว่าไม่ชัวร์นะรอบนี้
(อันนี้ไมแน่ใจครับต้องรอคนอัดเสียงมาคอนเฟิม ผมหูอื้อไป 555ว่าอาจารย์แกว่า ไม่ใช่ รึไม่ชัวร์)
ถาม MINT
ดร.ตอบ ตอนนี้ก้ยังไม่มีข่าวดีอะไรแต่งบรอบนี้คงเละ เพราะยังไงท่องเที่ยวไทยก็คงยังไม่กลับมาดีพอ พอมาดูที่แวลุเอชั่นก็สูงมากคนคาดหวังเยอะ PE สูงกว่าเพื่อน เมือ่เอามาเทียบๆกับ CPN มูลค่า 4 หมื่นล้าน MINT 3 หมืนกว่าล้าน ไอ้มินต์นี่ก็ไม่ถูกเท่าไหรยิงเอาไปเทียบกับ CENTEL ยิ่งคนละเรื่องทั้งที่ ทั้งสองตัวนี้ โรงแรมก็มีเหมือนๆกัน ห้องพักก้ไม่ห่างกันมาก ทำเลก้ดีทั้งคู่ CENTEL อาจแพ้ด้านอาหารก็ไม่น่าจะห่างกันขนาดนี้ เพราะ CENTEL มูลค่ามันอยู่แค่ 4-5พันล้านเอง ถูกว่าเยอะ
ถามเพิ่มเติมเรื่องเทียบ มาเกตแคป อาจารย์อธิบายว่า มันก็ลองเอามวยมาชกให้ถูกคู่ว่าศักยภาพมันสูสีแข่งกันได้ไหม อย่ากรณีที่แล้ว MINT กับ CENTEL ที่ผมก็มองว่ามันพอพอกันทั้งห้องพัก ทำเล แต่ตัวหลังอาจแพ้เรื่องอาหารนิดหน่อย แต่ CENTEL กลับมาเกตแคปถูกกว่ากันหลายเท่า ทั้งที่มันแข่งกันได้ คุณจเลือกตัวไหนละ แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ดีทั้งคู่ข่าวดียังไม่มาก็รอไปก่อนได้ใจเย็นๆ พวกนี้ลงทุนเยอะสร้างโรงแรมที กำไรก็ไม่ได้มากอะไร ยึ่งถ้ช่วงไหนศกไม่ดีแข่งกันดุเดือดนี่ น่ากลัว ลำบาก
ถาม เฮมราช
ดร.ตอบ ตัมนี้ผมก็ไมได้ตาม อยู่ดีดีมันก้โผลมา ที่เล่นข่าว ตั้งโรงไฟฟ้าขายไฟให้การไฟฟ้าได้ราคาที่กำหนด ผมก็ว่ามันก็เฉยๆ เพราะไม่ว่าที่ไหนตั้งโรงไฟฟ้ามันก้ขายให้การไฟฟ้าอยุ่แล้วนี่ แล้วไอ้ข่าวคอนโดที่ขายไม่ค่อยได้แล้วก็มาให้ข่าวว่ายิ่งโอนช้ายิ่งดีเพราะมูลค่าห้องก็จะแพงขึ้นงี้คุณก็เป้นไว้ตลอดชาติเลยดิ ไม่ต้องขาย 5555 จะดูไรให้ดูดีไปได้ แต่ที่น่าสนใจก็ลองไปดูพวกที่มันจะทำพวกผิตไฟฟ้าจากเขื่อนนี่ ผมว่านาจะดีเพราะตนทุนต่ำ แต่โดยรวมๆธุรกิจนี้ก้ยังไม่ดีเท่าไหรสำหรับตอนนี้
ถาม BCP
ดร.ตอบ ตัวนี้ผมก็เริ่มมอง ที่สนใจคือมีเงินสดประมาณ 3-4 พันล้าน หนี้แค่ 1 หมื่นล้าน มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้าน มีหุ้นกู้แปลงสภาพอยู่ใช้สิทธิที่ราคา 17-18 บาทอันนี้ผมไม่แน่ใจแต่ถ้าราคาแถวนี้คงไม่มีใครแปลง ผู้ถือหุ้นเดิมก็น่าจะได้ประโยชน์ เมือ่เทียบกับ เอสโซก้ดูโอเคกว่า กำไรปีละสามพันล้าน ปันผลที่จ่ายก็น่าพอใจ ยอดขายปีละตั้งแสนล้าน ราคานี้ก็แค่ 0.6 ของบุคทรัพย์สินก็คุณภาพโอเคไม่น่ากลัวอะไร ยิง DR1 ก็ยิ่งสบายใจ
แต่ที่ไม่ไปไหนก็งเป้นพราะ มันเป้นพวกหุ้นวัฏจักร ขึ้นลงมันหวือหวา ตัวนี้มันเนิบๆ คนเล่นหุ้นแนวนี้คงไม่สนใจ ไปเล่นตัใหญ่ๆเหวี่ยงแรงๆดีกว่า แบบเล่นคิดจะเล่นเสียผาดโผน ก็เล่นโรเลอโคสเตอรืไปเลยไม่มาเล่นอะไรเด้กแบบนี้
ถาม BTS
ดร.ตอบ ถ้าพูดจริงๆก้เหมือนกันหุ้นใหม่เข้าตลาดเอา BTS เข้ามาเพิ่มในธุระกิจ อยุ่ห่างๆมันไว้ดีกว่า ราคามันก็โอเวอร์มากตอนนี้ แถมเจ้าของคนี้ ก็ไม่ได้มาแจกของหวานๆให้แน่ 555
ถาม TCAP
ดร.ตอบ ดูจริงๆก็ต้องบอกว่าถูก ประสิทธิภาพในการทำกำไรก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนที่ทำก็ใช้ได้ แต่ก็เหมือนกับเป็นหุ้นไม่มีเจ้าของจริงๆ แล้วกองทุนใหญ่ๆยังไม่ค่อยมอง ถ้ากองทุนขนาดกลางหรือเล้กบางกองก็สนใจตัวนี้นะผมว่า แตราคาก้ขึ้นมาพอสมควรเลยตอนนี้โดยรวมถือว่าดูดีพอใช้ ณ ราคานี้
ถาม IT
ดร.ตอบ เป็นหุ้นดีตลอดกาลที่ราคาไม่ไปไหน มีศักยภาพ ตลาดยังมีดอกาสอีกเยอะยิ่งใน ตจว ปันผลก้เกือบ 100% แต่ราคาก็ไม่ไปไหน ผมก็มองโตปีละ 15% ไม่ค่อยพลาด แต่ก็คงเหมือนกับหุ้นดีที่ไม่เซ็กซี่หรือหวือหวา ถ้ามีเงินเหลือๆไม่มีเป้าหมายตัวนี้ก็ให้กินปันผลเรื่อยๆ
ถาม SVOA
ดร.ตอบ ก็เป้นหุ้นถูกอีกตัว เฉพาะมูลค่าที่ถือใน IT ก็คุ้มราคาหุ้นแล้ว ถ้าซื้อก้เหมือนได้ธุกิจมาฟรีๆ แต่ก็ต้องดูเพราะเป้นพวก Holding Compa ธุระกิจจริงๆไม่ไปไหนเท่าไหร ผมก็ขาดทุนตัวนี้อยู่แต่ตอนที่ซื้อก็เพราะเห็นถือหุ้นใน IT ซึ่งตัวนี้จิงๆมันมี 3-4 ธุรกิจซึ่งไม่เคยมาดีพร้อมๆกัน ยกเว้น IT ถ้าเกิดวันไหนมันเกิดดีพร้อมกัน ก็น่าลุ้น
ถาม ทาสโก้ TASSCO
ดร.ตอบ ผมก็ไม่ค่อยได้ตาม หลังๆที่ราคามนดีเพราะโครงการไทยเข้มแข็งมันละลาดยางสามพันโลก้เลยขายดีเป้นพิเศษ เพราะนักการเมืองไทยชอบลาดยาง.....
ถาม THANA
ดร.ตอบ อันนี้ผมก็ไม่ค่อยได้ตามไอ้การเล่นข่าวราคาประเมินที่ดินที่ภูเก็ต ก้ได้ 600-800 ล้านแล้วมาเกตแคปตัวเอง 900 ล้าน ก็มองว่า ดูดีดี หุ้นแบบนี้มีเยอะ อย่าง TMD ก็มีที่ดินเพียบแค่มูลค่าที่ดินก็ท่วมแล้วแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถ้าเจ้าของจริงๆไม่ทำไรหรือไม่ใส่ใจบริหารก็ไม่เกิดประโยชน์ ต่างจาก MBK ที่มันเอาที่ดินมาสร้างมุลค่าหารายได้ตลอด ชาญอิสระก้เหมือนกัน มาเกตแคป 400 ล้าน แต่ถ้าเอาโครงการมารวมๆก็ปาไป 800 ล้านแต่ราคาก็ไม่ไปไหน ไอ้ตัวที่ผมพลาดก้ SSC ที่ราคาที่ดินที่มันทับไว้ก้ท่วมราคาหุ้นไป 3 เท่าแต่ธุรกิจหลักๆก้ธรรมดาโตเรื่อยๆ ซึ่งผก็ว่าวันนึงบริษัทแม่มันก็น่าจะมาซื้อคืนไป ก็ไม่ได้ซือ้เพราะเบื่อเลยไม่ทัน เพราะตอนนั้นมันชอบอารมณืหุ้นที่เล่นแล้วได้เสีย
ถาม JUBILE
ดร.ตอบ ผมก็ว่า CFO เค้าก็คงมีคนหมายๆไว้แล้วอายุก็ขนาดนี้แล้ว ส่วนเรื่องธุกิจมันก็เป้นแบบไปเรื่อยๆ ไมได้โดดเนไร เพราสินค้ามันก็ไม่ต่างจากคู่แข่งเท่าไหร แถวคู่แข่งก็เยอะมาก มันต่างจาก IT ที่มันวางโพซิชั่นไว้ต่างจากรายอื่นๆ การเติบดตด้าน IT ก็เยอะกว่า ส่วนเพชรมันเปนธุรกิจที่เก่า ไม่มีใครอยุ่ดีดีก็แห่ไปซื้อเพชร ไม่เหมือนแห่ไปซื้อมือถือ แล้วก็ต้องดู ศก รสนิยมของคนด้วย ด้านความโปรงใสก็ดูไว้แต่ไม่เกี่ยวกับบริษัทนี้นะเพราะพวกฟองเงินก็ชอบฟอกผ่านวิธีนี้
ถาม JMART
ดร.ตอบ ตัวนี้ผมพึ่งซื้อไป เมือ่ 2 วันที่ผ่านมา (น่าจะเป็นวันพุธ) ที่ผมสนใจเพราะมันคล้ายๆ IT แบรนด์ค่อนข้างดีเหมือนกัน สินค้ามีหลากหลายในร้าน มีมาตรฐาน ไว้ในได้ แบบ IT CITY ไม่ต้องกลัวจะหลอกขายของให้คนไม่ค่อยรู้ แล้วคนก็เปลี่ยนมือถือบ่อย มีโอกาสไปบุก ตจวได้อีกเป็นโอกาสโต ต้นทุนก็ได้เปรียบนิดหน่อยในฐานะเป้นผู้นำ ที่แปลกๆสนใจก็คือธุรกิจรับจ้างทวงหนี้ที่สร้างรายได้ใหม่ กับเซ็งที่แล้วให้คนอื่นเช่าต่อเก็บค่าเช่าขายของ
1 มีความสม่ำเสมอของรายได้ ย้อนไป 12Q กำไร 20-30 ล้านปีละ 80-90 ล้านไม่ค่อยพลาด
2 มาเกตแคป 600 ล้านหน่อยๆ PE 7 เท่า ยอดขาย 6 พันล้านก็โอเคอยู่
3 ปันผล 70% ของกำไรก็ตีซะ 10% ที่ได้
ถ้ายังมีไรเอา 10%ได้ก็โอเค แต่ติดที่มีหนี้สินระยะสั้น 700 ล้านแต่ก็ยังไม่คิดมากเพราะป็นหนี้สินจากการค้าปกติ พวกซื้สด ขายสด ขายผ่อน มีสตอกสินค้าล้าสมัยแต่ JMART ก็จัดการได้ดีดูจากยอดขาย สินค้าสมัยตัวไหนใกล้ตกรุ่นก็รีบลดราคาระบายสินค้าที่ผ่านมาทำได้ดี ตอนที่งบออกคนผิดหวังกำไรเยอะเลยราคาลงแรง ผมก็เลยได้มา 6-7 ล้านหุ้น ถ้าราคาเหมาะสม PE 10 เท่า ก็น่าจะได้อยู่ ถ้าสนใจก็ดูตัวดอกเบี้ยเงินกู้ด้วยแต่ปติตัวนี้คงโดน 5-6% อยุ่แล้ว เวลาปรับดอกที่ 1 ช่อง 0.25 ก็ไม่น่ากระทบไรมาก
ถาม KIAT
ดร.ตอบ วิจารณ์มากๆไม่ดี เดี่ยวหลยคนไม่พอใจ กำไรที่ประกาสออกมาก้ดีมาก แต่ต้องดูราคากับบุคตอนนี้ด้วยว่ามันเท่าไหร ไอ้ส่วนที่เกินบุคมามันเรียกว่าค่าพรีเมี่ยมที่ตัวนี้มีเยอะมากๆพอพอกับ CPALL ก้เลยคิดว่า บรัทรับจ้างขนส่งแบนี้มันมีอำนาจต่อรองขนาดนี้เลยหรอ
ถาม ซิงเกอร์
ดร.ตอบ เมือ 10 ปีที่แล้วมันเป้นธุรกิจที่ดีเยี่ยม มีกูตวิลที่ดี ขายผ่อน ตจว ที่ดีมาก คุมหนี้เสียได้ดี พนักงานรู้จักคนในหมู่บ้านทุกคน ก้ขายจัรเย็บผ้า แต่อะไรที่มันดีมาๆกำไรมันแน่นอนนิ่งๆ อยุ่มาก็อยากโกรท เลยไปขายมอไซต์ก็เลยเจอพิษวะย่ำแย่หนี้เสีย ตอนนี้แก้ปัญหาได้ก็เริ่มกลับมาใหม่ตอนนี้จับธุรกิจแอรื ซึ่งอยู่กับบ้านไม่หายไปไหน แล้ว ตจว ก็เริ่ดแอร์มากขึ้น ตลาดใหญ่ เติบโตดี ไรเพิ่มแน่นอน แล้วพึ่งเริมจับ ปีแรกๆไม่มีหนี้เสียมาให้ปวดหัวเพราะแอร์ใหม่ๆคนไม่ค่อยเบี้ยว แต่ถ้าสนใจก็ต้องดูพวราคาสินค้าเกษตรไว้ด้วย พวก ข้าว ยางเพราะเป้นกลุ่มลุกค้า สินค้าเกษตรดีก็มีตังจ่าย เกดราคาแย่ พวกนี้ไม่มีตังก็เหนื่อย ส่วนเรื่องความชำชาญที่คุยๆว่ารู้จักรคนดี ก็แค่รู้จัก รุ้จักดีขนาดตอนทำมอไวต์มันยังหนีได้อันนี้ก็คิดๆไว้
ถาม SMT HANA
ดร.ตอบ กลุ่มนี้มันหุ้นเซ็กซี่ ขึ้นลงแรงเหวี่ยงๆหลายคนชอบ ช่วงดีก็ราคาไปไว ช่วงไหนไม่ดีก็ลงแรง ต้องดุด้วยเพราะผมก็ฟังมาเยอะแต่ละบริษัทก็ว่าตนเองผลิตได้เจ้าเดียว ก็เอาเข้าจริงมันก้คือการรับจ้างของเขา แล้วอิเล้กมันก็มีขึ้นลง ไม่มีอะไรที่ทำยากมากจนคนอื่นทำม่ได้ ไม่มี เป้นข้อสังเกตุ
ถาม CSL
ดร.ตอบ ทำอินเตอร์เนท ข้อดีอย่างเดียวคือผู้บริหารดูแลผู้ถือหุ้นดีมาก เงินมาเท่าไหรก็ปันผลหมด แต่ตอนนีมันก็ซีดจนผอมแล้ว ต้องระวังวัวตัวนี้จะค่อยๆผมอหายไป เพราะในระยะยยาวก็ไม่ร้ะพัฒนาธุรกิจไปทางไหน
ถาม KK
ดร.ตอบ แบงคืเล้กที่ดูเหมือนถูกประทับใจ ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัยหาอะไร แต่ต้องดูเรื่องถ้าเกิดวิกฤติ พวกนี้จะไปก่อนและแรง
ถาม AOT
ดร.ตอบ ผมก็รออยู่ ถ้า 30 ลงไปผมก็ว่าจะซื้อ แต่ก้ไม่ลงมาซักที ศักยภาพก็ไปได้แต่ชวงนี้ข่าวดีก็ยังไม่มา มีการเมืองเข้ามาเอ่ยว โครงการลงทุนเยอะ ล่าสุดก็มีข่าวจะลดค่าบริการนู่นนี่มากมายยังกะไม่ใช่เงินตัวเอง ซึ่งผู้ถือหุ้นจะซื้อก็คิดมาก มันดูไม่ผมเหตุสมผล รถเข็นก็คันละ 2 หมื่นกว่าบาทแพงเกิน แต่ก็ต้องทำใจ ถ้าจะเล่นหุ้นแนวนี้
ถาม PM
ดร.ตอบ ไม่ได้ติดตามเป้นธุระกิจไม่มีน่าประทับใจสำหรับอาจารย์
ถาม BOL
ดร.ตอบ มั่นคง แต่ตอนนี้ก้เริ่มนิ่งๆ ปกติไม่ค่อยมีวอลลุ่ม การเติบโตมีจำกัดกำไรน่าจะลดลง ขายข้อมูลในไทยยังไม่แพร่หลาย แต่ถ้า PE ต่ำกว่า 10 เท่าก็พอได้อยุ่น่าสน
ถาม SYNTEC
ดร.ตอบ ธุกจรับเหมาเหนื่อยเหมือนกัน โครงการเพีบ แบลลอกพียบ แต่กำไรไม่ค่อยมี ยิ่งรับงานราชการจะเป้นสีเท่าๆ มีนอกมีใน อย่างชีทพายที่ตอกให้ดินแน่นมันอยู่ใต้ดิน ผู้สอบบัญชีจะตรวจยังไง เหล้กเส้นอีก อนาคตธุรกิจก็ไม่แน่นอน บางก็ก็งานเยอะสบาย บางปีไม่มีงานก็เหนื่อย
ถาม SYNEC
ดร.ตอบ ขายอุปกรคอม พวกนี้ใช้เงินเยอะซื้องินสด ขายเงินผ่อน คล้ายเจมาทแตลงทุนเยอะกว่า เพราะมีขายส่งด้วย บางทีเจอลุกค้าซื้อๆๆๆ แล้วหายไปพร้อมกับเงินเรา พวกนี้ขายสินค้าไม่ค่อยมีปัยหามีปัญหาตอนเก็บหนี้นี่แระต้องระวัง มาจินก้บางมาก 2-3%
ถาม ปีหน้าน้ำแล้งซื้อตัวไหนดี
ดร.ตอบ นำแล้งพืชผลเกษตรดีไหมน่าจะแพงขึ้นแต่สังคมไทยเดียวนี้เปลี่ยนไป ไม่ได้ขึ้นอยุ่กับเกษตรกรรม หรือภัยธรรมชาติแล้วจะกระทบชีวิตความเป้นอยู่ เดี่ยวนี้ชาวนาจิงๆก็ไม่ค่อยมส่วนใหญ่กลับไปทำงานปีละ 15 วันนนอกนั้นก็มาเป้นวิน รับจ้าง ทั่วไปมากกว่า ผมก้เลยมองไม่อกมามันจะซื้ออะไรดี
ถาม SIS
ดร.ตอบ ขายอุปกรณ์คอมเมือนกันกับ synec ซึ่งมันก้โยงๆกันอยู่ตัวนี้ให้ระวังความเสี่ยงเพราะ ความเสี่ยต่ำแต่ความเสี่ยงที่มันมเกิดขึ้นแล้วจะเสียหายสูงมาก
ถาม ADVANCE
ดร.ตอบ มีความเสี่ยงเรื่องสัมปะทานเหลืออีก 10 ปี ส่วน 3G ก็ไม่นาจะมีปัยหาออะไร ดูรื่องการเมืองด้วยเริ่เข้ามาแทรกแวงมาก ซึ่งปันผลตัวน้ถือว่าสุงมากเหมือนกัน
ถาม MCS
ดร.ตอบ ก็เป็นหุ้นที่ดี ทั้งที่ธุรกิจก็ไม่ได้มีอะไรยากซับซ้อนอะไร ก็น่าแปลกใจที่มาร์จินเยอะ ก็พิจารณาดูดีดี ว่ามันมีอะไรหือเปล่า ถ้ายังตอบได้ไม่เคลียร์ก็ดูดูกันไป เจ้าของก็ขายเยอะ
ถาม RCL
ดร.ตอบ ตัวนี้ก็น่สนใจ ช่วงที่มันก็แย่จิงๆ ช่วงนี้ผ่านไปหมดแลวก็น่าจะฟื้นตัวได้ พวกนี้มันมีต้นทุนคงที่ที่เหือเป้นกำไรล้วนๆ ก็ลองดูต้นทุนของมันถ้ามีส่วนต่างก็ไปได้แน่ๆ
ถาม BAS
ดร.ตอบ ผมก็มีอยู่นิดหน่อย ซื้อเพราะไม่รู้จะไปลงทุนอะไร เทียบกับ AOT โตพอพอกันปีละ 4-5% มีรายได้แน่นอน ถ้ายอดขายโต 5% กไรจะเป้น 10% การลงทุนอะไรก็ไม่มีการการดูแลรักษาก็ใช้เงินน้อย ถ้ากาบินกลัมาตัวนี้ก้น่าจะไปได้
ถาม BLA
ดร.ตอบ มองว่าขึ้นมาเยอะเกินไป ธุรกิจถึงจะดีแต่ก้ไม่ควรสูงขนาดนี้ ธุรกิจปรกันไม่ได้กำไรมากกมาย กำไรส่วนใหญ่คือพอตลงทุน มองตัวน้แค่พอใช้แต่ราคา pe แพงไปหน่อย
ถาม IVL
ดร.ตอบ โดยรวมปีนี้กลุ่มนี้ใช้ได้ทั้งกลุ่ม แต่ดูราคาในตลาดสูงไปหน่อยเห้นยอซื้อขายติด top ตลอดเวลามีการเก็งกำไรสูงไปหน่อย ถ้าตัวนี้ก็ลองดูพวก TR TCB(ตัวนี้ไม่แน่ใจครับไม่คุ้น) ก็พอพอกันแต่ถูกกว่า พวกแขกนี้เก่งกำไรไม่ปันผลเอาไปลงทุนต่อ
ถาม IHL
ดร.ตอบ ไมได้ตามเลยตัวนี้เหมือนย้อนกลับไปรู้สึกมีข่าวคาวเยอะไป แล้วแปะหนังจากไทยมันไม่ดีเหมือนหนังจากต่างประเทศเพราะวัวไทยชอบคันแล้วถูๆ หนังเลยหยาบๆ
ถาม อาจารเล็งตัวไหนไว้
ดร.ตอบ ก็ซื้อ JMART ไป ตอนนี้มันติดนิสัยว่าเคยซื้อหุ้นถูกๆตอนนี้ราคาขึ้นมาหมดแล้ว ก็ซื้อไม่ลง ทั้งที่สถานการณืมันเลี่ยนไป
ถาม BEC
ดร.ตอบ มารเกตแคปสูงมาก สุงทุกอย่าง ธุรกิจมันก้ดูตันๆ วื่อื่นๆเยอะขึ้นคนรุ่นใหม่ก็ติดเน็ทมากกว่าทีวีแบบลูกสาวผม แต่ตอนนี้ก็ยังรักษาระดับพวกกำไรได้ดีแต่ พอมองระยะยาวๆก็มองไม่ออก
ถาม CPF ที่ไปลงทุนในจีน
ดร.ตอบ น่าจะเป้นการลงทุนส่วนตัวไม่เกี่ยวกับตัวนี้ครัเจ้าของนี่มีบริษัทส่วนตัวแยกกันเยอะ
ถาม อาจารมองตัวไหนเป้นซุปเปอร์คอมปานี
ดร.ตอบ ก็พวก CPALL BEC CPF CPN HMPRO บำรุงราษอีกตัว
ถาม ถ้ามีแต่ตัวแพงๆ อาจารยืแนะนำยังไงดี
ดร.ตอบ ถ้าหาไรไม่เจอก็ดูปันผลล้วกัน อย่างผมี MBK 70 บาท 60 บาท ตอนนี้ 80 บาทก็ถือว่าขึ้นไม่เยอะ ตัวดีดีที่เล้งไว้ราคาก็ยังไม่ลงมาอย่าง บำรุงราษ ก็ pe 20 เท่า ดีแต่ไม่ถูก ข้อจำกัดการลงทุนก้เยอะเลยดุไปก่อน
ถาม เวลาหุ้นตกแรงๆอาจารย์จัดพอตยังไง
ดร.ตอบ ไม่ค่อยตกเยอะตัวที่ผมถือๆ เพราะเวลาเราซื้อเราก็เลือกหุ้นที่ค่อนข้างทนมาอย่างดี ลงมาก็ไม่รู้จะขายทำไม แต่ถ้าตัวที่ไม่ทีลงแรงๆก็คงกู้มาซื้อเพิ่ม รอบนี้เปนครั้งแรที่มีเงินเหลืออยุ่เยอะแต่ไมรู้จะซื้ออะไรซึ่งแปลกมากๆเลยซื้อตัวเล้กตัวน้อยรอไปก่อน
ถาม KTC
ดร.ตอบ ราคาก้ลงไม่ลงต่ำกว่า 10 บาท แต่ระยะยาวน่าจะกลัมาได้ ดูจมาเกตแคป ยอดขาย ลุกค้าเป้นล้านคน ถือว่าถุกมากก็ค่อยๆรอวลาไปก่อน ยิ่งบุคของพวกธนาคารการเงินด้านน้จะเป้นบุคจิงๆ ไม่เหมือนของหลุ่มโรงงานที่หักค่าเสื่อมค่าไปมากมาย กบุ่มสถาบันการเงินพวกธนาคาร ควรยู่ที่บุคระมาณ 2 เท่า ถ้าแบงค์เล้กๆก็ลดลงมาหน่อย PE ไม่ค่อยเท่าไหร อย่างกรนี SCIB ที่ต่ำบุคก็ไม่ขายต้อง 1.5 เท่าถึงคุยได้
ถาม TTW
ดร.ตอบ ตัวนี้ก็ใช้ได้แต่ผลตอบแทนจากโครงการในอนาคตคงไม่มากเท่าปัจจุบัน แล้วการจะเพิ่มยอดขายก็ต้องลงทุนเยอะ มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณน้ำ ก็ต้องดูด้วย พื้นที่ด้วย เดิ่มที่กำไรเยอะเพราะตอนเซ็น สัญญาอัตราดอกเบี้ยหรืออะไรต่างๆมันอยู่ในระดับสูง ถ้าเปิดโครงการตอนนี้ก็คงไม่ได้สุงขนาดนั้น
ถาม IRC
ดร.ตอบ จริงๆไม่แพงแต่ไม่หวือหวา มาจิน ROE ดีมาก ผู้บริหารก็ดี ก็ก้เหมือผู้หญิงสวยไม่เซ็กซี่
ถาม PICO
ดร.ตอบ ธุรกิจนี้ปีนี้เหนื่อยแน่ จราจลเยอะ คู่แข่งเยอะ ธุรกิจแรงงาน มีคนมากไม่มีงานก็แย่ ถ้าไม่มีพาทเนอร์รายใหญ่สนับสนุน ก็ลำบาก CMO ก็เหมือนกัน ผมเลยขาย
ถามเรืองเทรนตลาด
ดร.ตอบ ถ้าทุกอย่างจบจริงๆก็มีดอกาสเจอกระทิงเถือ่น เพราะตอนนี้ตลาดรที่ยบกับเพื่อนบ้านมันต่ำไปคนอื่นเค้าไปไกลกันหมดแล้ว แต่ถ้าเรามองภายในของเราเองราคาตอนนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน กลางๆ ตอนนี้การลงทุนเปลี่ยนไปไปเนนในประเทศที่มีประชากรเยอะๆ มีการบริโภค แรงงานเยอะ ซึ่งเมือ่ก่อนมองว่าคนเยอะถ่วงความเจริญ
ถาม STA
ดร.ตอบ ราคายางก็ขึ้นมาพรวดๆกำไรก็ดตมาก แต่ก็ไม่ปันผลออกมาก ก็เล่นเป้นรอบๆไป
ถาม โกลเบิล เทียบกับโฮมโปร
ดร.ตอบ ไม่น่าจะเป้นคู่แข่งโฮมโปรเพราะโกเบิลเน้นขายกลุ่มก่อสร้างตรงๆ วึ่งก็มีบุญถาวรมาแจมอีกตัว แต่สังเกตุ โฮมโปรเป้นหุ้นที่เติบโตมาเป้นระยะเวลานานกว่า 10 ปี น่าจะเป็นซุปเปอรืคอมปานีได้ เรื่องของราคาก็ลองดู บัฟเฟด ที่พึ่งซื้อวอลมาลเมือ่ 2 ปีที่แล้วหลังจากดูมา 20 ปีก็เห้นว่ามันยังแพงๆเลยไม่ได้ซือ้ก็พึ่งตัดสินใจได้
ถาม TPIPL
ดร.ตอบ อย่างไปยุ่งกับเค้าเลย
ถาม การมองหาหุ้นการเลือกหุ้น
ดร.ตอบ ก็ลองทำตารางเชคลิสออกมาดูแล้วเทียบกันว่าวไหนเปนอย่างไง ดูธุรกิจ ดูPE ดูราคา ดูงบ แล้วดูว่าตัวไหนได้คะแนนเต็ม หรือสูงสุดก็ซื้อ ถ้าคิดว่าระยะยามดี ก็ค่อยๆซื้อไปเรือ่ยๆเฉลี่ยๆไปได้ถูกบ้างแพงบ้างแต่สุดท้ายก็คือกำไรในอนาคตที่เราคาดไว้
ขอถามคุณแชมป์หน่อยนะครับ ว่าอาจารย์พูดถึง JMART ว่าจะโตได้จากอะไร เพราะผมเองก็คิดว่าเรื่องมือถือ ตอนนี้มีกันคนละเครื่องกว่าๆแล้ว ถ้าโตได้ก็น่าสนใจมากเลยนะครับ เพราะราคาหุ้นไม่แพงเลย
อาจารย์ว่ามันโตเรื่อยๆครับแล้วมือถือก้เปลี่ยนบ่อย อ้อ ตกประเด็นไป JMART รอบที่ผ่านมามันลงทุนผิดพลาดกับ เจโฟน ด้วยนะครับทีขาดทุนเยอะหน่อยเพราะมองตลาดคนไทยผิดไปที่เอาเครื่องที่คุณสมบัติเยอะๆแล้วราคาถุก โฆษณาหน่อยๆจะขายได้ แต่ปรากฏว่าคนไทยติดแบรนด์ เลย ไม่ได้กำไรสนใจ 555 ที่น่าสนใจอาจารย์จะพูดถึงประเดินะรกิจทวงหนี้ที่มีคนอยุ่ 400 คนคอยตามหนี้ทางโทรศัพ ก็น่าสนใจครับตรงนี้ แต่ธุรกิจหลักขายมือถือก้โตเรื่อยๆ ปีปี คนเปลื่อนมือถือเยอะ
วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553
คีย์ซักเซสอิ่มสะดวก “เซเว่นฯ” ก้าวด้วยฟู้ด ก้าวด้วยแฟรนไชส์
ถ้าบทบาทของ “ซีพี” คือการ ก้าวสู่ครัวของโลก บทบาทของ “ซีพี ออลล์” ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ก็ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ ลดสเกลจาก “ครัวโลก” มาเป็น “ครัวไทย” โดยเจาะเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนไทยที่มีความเร่งรีบมากขึ้น สลัดภาพร้านสะดวกซื้อที่คุ้นเคย สู่ภาพ “ร้านอิ่มสะดวก”
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “ปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อน ร้านอิ่มสะดวกเซเว่นฯ ให้บรรลุทั้งในแง่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่และการขยายสาขา ที่ซีพีทาวเวอร์ เย็นวันหนึ่ง
- แผนขยายสาขาใน 3 ปีหน้า เป็นอย่างไร
เซเว่นฯ เน้นไปตามชุมชนใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5,700 สาขา เปิดเพิ่มปีละ 500 สาขา ดังนั้น อีก 3 ปี ก็จะได้ 7,000 สาขา ตอนนี้มีลูกค้าวันละเฉลี่ย 1,100-1,200 คนต่อสาขา หรือ วันละ 6,000,000 คน ก็นั่งเทียนคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีลูกค้าวันละ 8,000,000 คน
แต่ถ้ามองเป็นภาพใหญ่ วันนี้มีร้านโชห่วยทั่วประเทศกว่า 600,000 ราย ถึงช่วงนั้นก็อาจเป็น 700,000 ราย เราก็เป็นแค่ 1% ของค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม แนวทางการขยายสาขาจากนี้ไป เซเว่นฯ โฟกัสที่แฟรนไชส์ ซึ่งปีนี้มีสัดส่วนอยู่ 50% เพิ่มปีละ 3% อีก 3 ปี แฟรนไชส์ก็จะเป็น 60% ฐานจะใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ แต่ร้านบริษัทอยู่คงที่ เพราะบริษัทอยากสร้างเถ้าแก่รุ่นใหม่ ทั้งพนักงาน เด็กจบใหม่ เพราะวันที่เราก้าวไปถึง 7,000 สาขา การให้แฟรนไชส์ดูแลตัวเองจะสะดวกกว่าให้ลูกจ้างดูลูกจ้าง แล้วบริษัทก็สามารถดูแลตลาดใหญ่เต็มที่ ดูเรื่องการจัดการต่อสาขาให้ดีขึ้น
- ทำไมเซเว่นฯ ถึงเปิดสาขาติด ๆ กัน บางพื้นที่ห่างกันไม่เกิน 50 เมตร
ถ้าไม่ใช้กลยุทธ์คุมตลาด คู่แข่งก็จะมาตีเรา บางทำเลที่เป็นเกรดเอมาก ๆ ยอดขายอาจสูงถึงวันละ 70,000 บาท เราก็เปิดสาขาที่ 2 ซึ่งอาจจะได้ยอดขายสัก 50,000 บาท ขณะที่สาขาแรกเหลือ 60,000 บาท คู่แข่งก็ไม่กล้ามาแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้มีแค่สาขาเดียว พอคู่แข่งมาตียอดขายอาจลดเหลือแค่ 40,000 บาท ก็ได้ สู้ขยายสาขาเอง อย่างดีก็กระทบยอดขายเดิมเพียง 5-10%
- ทั้ง ๆ ที่เซเว่นฯ มีสาขาครอบคลุม ทำไม เทสโก้ฯ บิ๊กซี ท็อปส์ คาร์ฟูร์ ถึงสนใจตลาดนี้
วันนี้โลกแข่งขันสมบูรณ์ ทุกธุรกิจมีการแข่งขัน เขามองว่าเป็นโอกาส เพราะเห็นเราเติบโตทุกปี ตอนนี้เซเว่นฯ มี 5,000 สาขา อีก 10 ปี อาจเป็น 10,000 สาขา ถึงตอนนั้นเขาก็อาจมีสัก 4,000 สาขา เป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3
อีกประการหนึ่งคือ สาขาขนาดใหญ่เจอเรื่องกฎหมายผังเมืองที่เปิดตามชุมชนใหญ่ ๆ ไม่ได้ เขาต้องไปเปิดชานเมือง ซึ่งมันไม่คุ้ม ถ้าจะเข้าตัวเมือง ก็ต้องลดไซซ์ลงเหมือนเซเว่นฯ ผมเข้าใจอย่างนั้นนะ พยายามคิดแทนเขา ใช่ไม่ใช่อีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ)
- ภาพร้านอิ่มสะดวกที่พยายามปั้นถึงวันนี้คืบหน้าไปถึงไหน
วันนี้ภาพการเป็นร้านอิ่มสะดวกเริ่มเห็นชัดขึ้น เซเว่นฯ พยายามบอกว่าเราไปสู่อาหารมาหลายปีแล้ว โดยเอาอาหาร เครื่องดื่ม สแน็ก รวมถึงสินค้าในเครือ เพราะเครือซีพีกำลังผลักดันไปสู่เรื่องครัวโลก เซเว่นฯ ก็เอาจุดแข็งตัวนี้มาใช้ เริ่มต้นจากโฟรเซนฟู้ดหรืออาหารแช่แข็ง อีซี่โก เมื่อ 4-5 ปีก่อน พอวันนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มีวางจำหน่าย ทั่วประเทศ ขายได้ถึง 4,000,000 แพ็กต่อเดือน เราก็ทำเรื่องชิลด์ฟู้ดหรืออาหารแช่เย็นต่อ ขายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน 700-800 สาขา ตอนนี้ยอดขายก็ไม่เลว ได้สาขาละ 60 แพ็กต่อวัน ตอนนี้ก็พยายามผลักดันให้ชิลด์ฟู้ดมีขายทั่วประเทศ โดยต้องสร้างโรงงานและเครือข่ายหรือซีดีซี (Chilled Distribution Center) เพื่อป้อนสินค้าไปยังสาขารอบ ๆ
ข้อดีของการมีซีดีซีจำนวนมาก ทำให้สามารถหาสินค้าขายดีของแต่ละท้องถิ่นมาจำหน่าย เพราะแต่ละภาคบริโภคสินค้าไม่เหมือนกัน ชิลด์ฟู้ดอาจจะมีเมนูทั่วไปขายทั่วประเทศ แต่ภาคใต้อาจมีแกงเผ็ด ๆ หน่อย หรือภาคเหนืออาจมีขันโตก
ตอนนี้จะขยายเมนูอาหารให้ทั่วประเทศ แล้วเป็นไปได้ก็จะเริ่มผลิตอาหารให้ครบ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ทดลองที่กรุงเทพฯ ก่อน และยังเริ่มทำเบเกอรี่ กาแฟปั่น กาแฟร้อน น้ำผลไม้ปั่น ทดลองขายที่สาขาศรีบุญเรือง ต่อไปจะเป็นกลุ่มของทานเล่นระหว่างมื้อ ถ้ากลุ่มนี้สำเร็จ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นอิ่มสะดวกอย่างแท้จริง
- สำหรับอาหารซึ่งมีอินไซด์เรื่องความอร่อย แก้โจทย์ตรงนี้อย่างไร
เจอคำถามนี้ ผมต้องแก้ผ้าหมดเลยนะ (หัวเราะ) โฟรเซนกับชิลด์ฟู้ด บริษัทให้ซีพีเอฟเป็นคนผลิตทั้งหมด เพราะเมนูเป็นความลับ ก่อนหน้านี้เคยไปจ้างข้างนอกไปพึ่งคนอื่นหายใจ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน บางทีก็ไปทำป้อนคู่แข่งอีก เลยไม่เอา
ส่วนเรื่องรสชาติ เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง เริ่มจากทำรีเสิร์ชก่อนว่าเมนูขวัญใจของลูกค้าคืออะไร แล้วก็ส่งคนเซอร์เวย์ทั่วประเทศ ว่าเมนูนั้นเจ้าไหนทำอร่อยที่สุดคัดเหลือ 3 ราย จากนั้นก็หากุ๊กมาถอดสูตร แล้วทดลองขายก่อนไม่กี่สาขา ถ้ายอดขายไม่ดี ก็ต้องปรับปรุงจนกว่าจะอร่อยใกล้เคียงกับเจ้าของสูตร
เรียกว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ ๆ อยากขาย คิดปั๊บแล้วก็ขายเลย อย่างนั้นไม่มีทางสำเร็จ
- ที่มุ่งมาทางอาหารเพราะกำไรดีกว่าหรือต้องการสร้างความแตกต่าง
ยอมรับว่าอาหารมาร์จิ้นเยอะ คู่แข่งก็ไม่มี ขณะที่โกรเซอรี่กว่าจะขายหมดใช้เวลานาน ลูกค้าเซเว่นฯ เป็นกลุ่มบีกับซี เขาซื้อสินค้าแค่ชั่วคราว ใช้หมดแล้วมาซื้อซ้ำเรื่อย ๆ ไม่ต้องตุน เราจึงขอให้ซัพพลายเออร์ผลิตสินค้าชิ้นเล็กลง อันนี้ก็เป็นอีก 1 เคล็ดลับ เมื่อสินค้าชิ้นเล็กลง ราคาต่อชิ้นถูกลง แต่มูลค่าแพงขึ้น ตอนนี้โกรเซอรี่ในเซเว่นฯ 50% เลยเป็นชิ้นเล็ก แล้วมันก็เป็นยูนิค (Unique) ซื้อได้เฉพาะที่เซเว่นฯ คู่แข่งขายแต่ขนาดกลางกับขนาดใหญ่
- วันนี้เซเว่นฯ ตอบโจทย์ลูกค้าครบถ้วนหรือยัง
วันนี้ต้องบอกว่าครบถ้วน ยอดขายสาขาเดิมเราโต 8% ต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งที่เปิดตีกันไปมา แต่สัจธรรมโลกนี้ก็มีอยู่ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น มีแปรปรวน มีเสื่อม ตามหลักศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับความต้องการของลูกค้าที่มีวันเปลี่ยนแปลง คู่แข่งก็มีของใหม่ ๆ มาเสมอ
วันนี้เซเว่นฯมีครบแล้ว แต่เราไม่อยู่กับที่ ต้องหาสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลอดเวลา หาสินค้าที่ตลาดไม่มี
อย่างล่าสุดข้อมูลจากรีเสิร์ชบอกว่าผู้ชายรักสวยรักงามมากขึ้น ต้องดูแลผิว มีน้ำหอม ครีม ก็ต้องตามให้ทัน หรืออย่างกรณี รถไฟฟ้า ที่ทำให้คนมี 2 บ้าน ตอบโจทย์การศึกษาและการทำงาน ไลฟ์สไตล์คนก็เปลี่ยน เพราะอย่างคอนโดฯเขาไม่อนุญาตให้ปรุงอาหาร คนก็ต้องเปลี่ยนมากินข้าวกล่อง นี่คือการเปลี่ยนแปลง
แต่ข้อมูลต้องมาจากการรีเสิร์ช เซเว่นฯถึงจะกระโจนไปในสิ่งที่เราไม่คิดจะทำ ถ้ารีเสิร์ชบอกอะไร เราก็ต้องไป
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4188 ประชาชาติธุรกิจ
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “ปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล” กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อน ร้านอิ่มสะดวกเซเว่นฯ ให้บรรลุทั้งในแง่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่และการขยายสาขา ที่ซีพีทาวเวอร์ เย็นวันหนึ่ง
- แผนขยายสาขาใน 3 ปีหน้า เป็นอย่างไร
เซเว่นฯ เน้นไปตามชุมชนใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5,700 สาขา เปิดเพิ่มปีละ 500 สาขา ดังนั้น อีก 3 ปี ก็จะได้ 7,000 สาขา ตอนนี้มีลูกค้าวันละเฉลี่ย 1,100-1,200 คนต่อสาขา หรือ วันละ 6,000,000 คน ก็นั่งเทียนคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีลูกค้าวันละ 8,000,000 คน
แต่ถ้ามองเป็นภาพใหญ่ วันนี้มีร้านโชห่วยทั่วประเทศกว่า 600,000 ราย ถึงช่วงนั้นก็อาจเป็น 700,000 ราย เราก็เป็นแค่ 1% ของค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม แนวทางการขยายสาขาจากนี้ไป เซเว่นฯ โฟกัสที่แฟรนไชส์ ซึ่งปีนี้มีสัดส่วนอยู่ 50% เพิ่มปีละ 3% อีก 3 ปี แฟรนไชส์ก็จะเป็น 60% ฐานจะใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ แต่ร้านบริษัทอยู่คงที่ เพราะบริษัทอยากสร้างเถ้าแก่รุ่นใหม่ ทั้งพนักงาน เด็กจบใหม่ เพราะวันที่เราก้าวไปถึง 7,000 สาขา การให้แฟรนไชส์ดูแลตัวเองจะสะดวกกว่าให้ลูกจ้างดูลูกจ้าง แล้วบริษัทก็สามารถดูแลตลาดใหญ่เต็มที่ ดูเรื่องการจัดการต่อสาขาให้ดีขึ้น
- ทำไมเซเว่นฯ ถึงเปิดสาขาติด ๆ กัน บางพื้นที่ห่างกันไม่เกิน 50 เมตร
ถ้าไม่ใช้กลยุทธ์คุมตลาด คู่แข่งก็จะมาตีเรา บางทำเลที่เป็นเกรดเอมาก ๆ ยอดขายอาจสูงถึงวันละ 70,000 บาท เราก็เปิดสาขาที่ 2 ซึ่งอาจจะได้ยอดขายสัก 50,000 บาท ขณะที่สาขาแรกเหลือ 60,000 บาท คู่แข่งก็ไม่กล้ามาแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้มีแค่สาขาเดียว พอคู่แข่งมาตียอดขายอาจลดเหลือแค่ 40,000 บาท ก็ได้ สู้ขยายสาขาเอง อย่างดีก็กระทบยอดขายเดิมเพียง 5-10%
- ทั้ง ๆ ที่เซเว่นฯ มีสาขาครอบคลุม ทำไม เทสโก้ฯ บิ๊กซี ท็อปส์ คาร์ฟูร์ ถึงสนใจตลาดนี้
วันนี้โลกแข่งขันสมบูรณ์ ทุกธุรกิจมีการแข่งขัน เขามองว่าเป็นโอกาส เพราะเห็นเราเติบโตทุกปี ตอนนี้เซเว่นฯ มี 5,000 สาขา อีก 10 ปี อาจเป็น 10,000 สาขา ถึงตอนนั้นเขาก็อาจมีสัก 4,000 สาขา เป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3
อีกประการหนึ่งคือ สาขาขนาดใหญ่เจอเรื่องกฎหมายผังเมืองที่เปิดตามชุมชนใหญ่ ๆ ไม่ได้ เขาต้องไปเปิดชานเมือง ซึ่งมันไม่คุ้ม ถ้าจะเข้าตัวเมือง ก็ต้องลดไซซ์ลงเหมือนเซเว่นฯ ผมเข้าใจอย่างนั้นนะ พยายามคิดแทนเขา ใช่ไม่ใช่อีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ)
- ภาพร้านอิ่มสะดวกที่พยายามปั้นถึงวันนี้คืบหน้าไปถึงไหน
วันนี้ภาพการเป็นร้านอิ่มสะดวกเริ่มเห็นชัดขึ้น เซเว่นฯ พยายามบอกว่าเราไปสู่อาหารมาหลายปีแล้ว โดยเอาอาหาร เครื่องดื่ม สแน็ก รวมถึงสินค้าในเครือ เพราะเครือซีพีกำลังผลักดันไปสู่เรื่องครัวโลก เซเว่นฯ ก็เอาจุดแข็งตัวนี้มาใช้ เริ่มต้นจากโฟรเซนฟู้ดหรืออาหารแช่แข็ง อีซี่โก เมื่อ 4-5 ปีก่อน พอวันนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มีวางจำหน่าย ทั่วประเทศ ขายได้ถึง 4,000,000 แพ็กต่อเดือน เราก็ทำเรื่องชิลด์ฟู้ดหรืออาหารแช่เย็นต่อ ขายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน 700-800 สาขา ตอนนี้ยอดขายก็ไม่เลว ได้สาขาละ 60 แพ็กต่อวัน ตอนนี้ก็พยายามผลักดันให้ชิลด์ฟู้ดมีขายทั่วประเทศ โดยต้องสร้างโรงงานและเครือข่ายหรือซีดีซี (Chilled Distribution Center) เพื่อป้อนสินค้าไปยังสาขารอบ ๆ
ข้อดีของการมีซีดีซีจำนวนมาก ทำให้สามารถหาสินค้าขายดีของแต่ละท้องถิ่นมาจำหน่าย เพราะแต่ละภาคบริโภคสินค้าไม่เหมือนกัน ชิลด์ฟู้ดอาจจะมีเมนูทั่วไปขายทั่วประเทศ แต่ภาคใต้อาจมีแกงเผ็ด ๆ หน่อย หรือภาคเหนืออาจมีขันโตก
ตอนนี้จะขยายเมนูอาหารให้ทั่วประเทศ แล้วเป็นไปได้ก็จะเริ่มผลิตอาหารให้ครบ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ทดลองที่กรุงเทพฯ ก่อน และยังเริ่มทำเบเกอรี่ กาแฟปั่น กาแฟร้อน น้ำผลไม้ปั่น ทดลองขายที่สาขาศรีบุญเรือง ต่อไปจะเป็นกลุ่มของทานเล่นระหว่างมื้อ ถ้ากลุ่มนี้สำเร็จ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นอิ่มสะดวกอย่างแท้จริง
- สำหรับอาหารซึ่งมีอินไซด์เรื่องความอร่อย แก้โจทย์ตรงนี้อย่างไร
เจอคำถามนี้ ผมต้องแก้ผ้าหมดเลยนะ (หัวเราะ) โฟรเซนกับชิลด์ฟู้ด บริษัทให้ซีพีเอฟเป็นคนผลิตทั้งหมด เพราะเมนูเป็นความลับ ก่อนหน้านี้เคยไปจ้างข้างนอกไปพึ่งคนอื่นหายใจ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน บางทีก็ไปทำป้อนคู่แข่งอีก เลยไม่เอา
ส่วนเรื่องรสชาติ เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง เริ่มจากทำรีเสิร์ชก่อนว่าเมนูขวัญใจของลูกค้าคืออะไร แล้วก็ส่งคนเซอร์เวย์ทั่วประเทศ ว่าเมนูนั้นเจ้าไหนทำอร่อยที่สุดคัดเหลือ 3 ราย จากนั้นก็หากุ๊กมาถอดสูตร แล้วทดลองขายก่อนไม่กี่สาขา ถ้ายอดขายไม่ดี ก็ต้องปรับปรุงจนกว่าจะอร่อยใกล้เคียงกับเจ้าของสูตร
เรียกว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ ๆ อยากขาย คิดปั๊บแล้วก็ขายเลย อย่างนั้นไม่มีทางสำเร็จ
- ที่มุ่งมาทางอาหารเพราะกำไรดีกว่าหรือต้องการสร้างความแตกต่าง
ยอมรับว่าอาหารมาร์จิ้นเยอะ คู่แข่งก็ไม่มี ขณะที่โกรเซอรี่กว่าจะขายหมดใช้เวลานาน ลูกค้าเซเว่นฯ เป็นกลุ่มบีกับซี เขาซื้อสินค้าแค่ชั่วคราว ใช้หมดแล้วมาซื้อซ้ำเรื่อย ๆ ไม่ต้องตุน เราจึงขอให้ซัพพลายเออร์ผลิตสินค้าชิ้นเล็กลง อันนี้ก็เป็นอีก 1 เคล็ดลับ เมื่อสินค้าชิ้นเล็กลง ราคาต่อชิ้นถูกลง แต่มูลค่าแพงขึ้น ตอนนี้โกรเซอรี่ในเซเว่นฯ 50% เลยเป็นชิ้นเล็ก แล้วมันก็เป็นยูนิค (Unique) ซื้อได้เฉพาะที่เซเว่นฯ คู่แข่งขายแต่ขนาดกลางกับขนาดใหญ่
- วันนี้เซเว่นฯ ตอบโจทย์ลูกค้าครบถ้วนหรือยัง
วันนี้ต้องบอกว่าครบถ้วน ยอดขายสาขาเดิมเราโต 8% ต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งที่เปิดตีกันไปมา แต่สัจธรรมโลกนี้ก็มีอยู่ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น มีแปรปรวน มีเสื่อม ตามหลักศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับความต้องการของลูกค้าที่มีวันเปลี่ยนแปลง คู่แข่งก็มีของใหม่ ๆ มาเสมอ
วันนี้เซเว่นฯมีครบแล้ว แต่เราไม่อยู่กับที่ ต้องหาสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลอดเวลา หาสินค้าที่ตลาดไม่มี
อย่างล่าสุดข้อมูลจากรีเสิร์ชบอกว่าผู้ชายรักสวยรักงามมากขึ้น ต้องดูแลผิว มีน้ำหอม ครีม ก็ต้องตามให้ทัน หรืออย่างกรณี รถไฟฟ้า ที่ทำให้คนมี 2 บ้าน ตอบโจทย์การศึกษาและการทำงาน ไลฟ์สไตล์คนก็เปลี่ยน เพราะอย่างคอนโดฯเขาไม่อนุญาตให้ปรุงอาหาร คนก็ต้องเปลี่ยนมากินข้าวกล่อง นี่คือการเปลี่ยนแปลง
แต่ข้อมูลต้องมาจากการรีเสิร์ช เซเว่นฯถึงจะกระโจนไปในสิ่งที่เราไม่คิดจะทำ ถ้ารีเสิร์ชบอกอะไร เราก็ต้องไป
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4188 ประชาชาติธุรกิจ
7-11ไล่ประกบโลตัสเอ็กซ์เพรสทั่วปท.
7-11ไล่ประกบโลตัสเอ็กซ์เพรสทั่วปท. ผนึกแบงก์หนุน”แฟรนไชส์”สปีดสาขา
แนวรบร้านสะดวกซื้อลามถึงต่างจังหวัด เจ้าตลาด “เซเว่นอีเลฟเว่น” เดินเกมเปิดสาขาประกบ “โลตัส เอ็กซ์เพรส” เป็นแซนด์วิช ล้อมกรอบปิดทางไม่ให้โต เผยย่านชุมชน “อุดรฯ-เชียงใหม่” ระอุไม่แพ้กรุงเทพฯ อ้างต่างจังหวัดทำเลดี ๆ มีน้อย จึงต้องเปิดอยู่ใกล้ ๆ ล่าสุดผนึก 3 แบงก์ “นครหลวงไทย-กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์” ปล่อยกู้แฟรนไชซี
ภาพการเผชิญหน้าระหว่างเซเว่น อีเลฟเว่นกับโลตัส เอ็กซ์เพรส เพื่อชิงตลาดคอนวีเนี่ยนสโตร์ ได้เพิ่มดีกรีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการใช้วิธีเปิดสาขามากกว่า 1 แห่ง เพื่อประกบล้อม คู่แข่งเอาไว้ จากเดิมที่กลยุทธ์ดังกล่าวจะมีเฉพาะย่านชุมชนต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ แต่ล่าสุดการเดินเกมรุกของ เซเว่นอีเลฟเว่น เพื่อล้อมกรอบโลตัส เอ็กซ์เพรส ในลักษณะดังกล่าว ได้เกิดขึ้นตามจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ ซึ่งมีการเปิดสาขา 2-3 สาขาในพื้นที่ย่านเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในจังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เซเว่นฯเปิดสาขาประกบโลตัส เอ็กซ์เพรส ในลักษณะแซนด์วิช เช่น ย่านโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งเป็นชุมชนหนาแน่น และเป็นย่านที่พักอาศัย
ก่อนหน้านี้ บริเวณฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม มีเซเว่นฯเปิดให้บริการอยู่ก่อน จากนั้น โลตัส เอ็กซ์เพรส ก็ตามมาเปิดประกบใกล้ ๆ กัน ต่อมาไม่นาน เซเว่นฯก็เปิดสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ทางด้านซ้าย ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร และเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา รวมเป็น 3 สาขา ประกบโลตัส เอ็กซ์เพรส
ส่วนที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันลักษณะดังกล่าวมีให้เห็นบนถนนสายสำคัญ ๆ ที่เป็นย่านการค้าและชุมชน อาทิ ย่านกาดก้อม ใกล้กับวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ทั้ง 2 ค่ายลงทุนเปิดสาขาติดกันตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริเวณถนนสายสุเทพ ย่านตลาดต้นพะยอม หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เซเว่นฯเปิดบริการถึง 6 สาขา ขณะที่โลตัส เอ็กซ์เพรส มีเพียง 1 สาขา ทำให้ถูกเซเว่นฯประกบหัวท้าย ส่วนย่านถนนนิมมานเหมินท์ แม้โลตัส เอ็กซ์เพรส จะเปิดสาขาหลัง เซเว่นฯ แต่ล่าสุด เซเว่นฯใช้กลยุทธ์เปิดสาขาเพิ่มขึ้น เพื่อประกบเป็นแซนด์วิชเช่นกัน
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากหาทำเลดี ๆ หรือเกรดเอในต่างจังหวัดหายากขึ้น ที่ผ่านมาการเปิดสาขาประกบกันมีในหลาย ๆ พื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เซเว่นฯถูกคู่แข่งตามประกบมากกว่า
นอกจากพื้นที่ย่านชุมชุมที่มีการแข่งขันสูงแล้ว ปัจจุบันที่พักอาศัยขยายตัวออกไปย่านชานเมืองมากขึ้น รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าก็มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นเช่นกัน
แหล่งข่าวจากเทสโก้ โลตัส ยอมรับว่า ปัจจุบันการแข่งเปิดสาขาในต่างจังหวัดและชานเมืองเริ่มรุนแรงขึ้น นอกจากเซเว่นฯมีแผนการขยายสาขาในแต่ละปีเฉลี่ย 450 แห่งแล้ว 108 ช็อปก็จะขยายสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 400 สาขาภายในปีนี้ ขณะที่แฟมิลี่มาร์ทก็มีนโยบายชัดเจนเน้นขยายสาขาในต่างจังหวัดและเมืองท่องเที่ยว ทำให้การแข่งขันหาพื้นที่ในย่านเกรดเอมีมากขึ้น
“แม้โลตัส เอ็กซ์เพรส มีแผนเปิดสาขาเพิ่มปีละ 60-70 สาขา แต่ธุรกิจหลักยังโฟกัสที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต และปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเน้นเรื่องดิสเพลย์และความโปร่งภายในร้าน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดสาขาประกบคู่แข่งเป็นกลยุทธ์ที่เซเว่นฯใช้มานานนับ 10 ปี ทั้งกรณีร้านเอเอ็ม-พีเอ็ม หรือแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งเป็นคู่แข่งในยุคนั้น
นอกจากนี้เซเว่นฯยังเปิดเกมรุกสร้างรายได้ ด้วยการโฟกัสการขยายสาขาในรูปแบบของการขายแฟรนไชส์ควบคู่ไปด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทุ่มงบฯลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาทขยายสาขาของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นให้ครบ 7,000 สาขา ภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยวางแผนลงทุนไว้ปีละ 4,000 ล้านบาท และเน้นขยายสาขาใหม่ในอำเภอขนาดเล็ก ที่มีโอกาส การเติบโต มีประชากรอาศัยหนาแน่น
“ผมบอกไม่ได้ว่า เราจะไปหยุดที่กี่สาขาเมื่อไหร่ เราอาจไปหยุดที่ 10,000 แห่ง เศษ ๆ หรือไม่แน่เลย 10,000 แห่ง เราอาจจะไปได้อีก การเปิดขยายสาขาเราจะเปิดไปเองแบบไม่หยุดเลย ทุกวันเปิด 3 วัน 5 สาขา เราไม่รอคุยกับแฟรนไชส์ เปิดดะเลย ร้านแฟรนไชส์เราต้องเปิดเป็นของเราก่อน แล้วเราค่อยให้แฟรนไชส์มาสวมเข้าไป อย่างไรก็ตาม ปี 2552 ยอดขาย 96,000-97,000 ล้านบาท ปี 2553 คาดว่า ยอดขายเกิน 100,000 ล้านบาทอยู่แล้ว ถึงปี 2554 ยอดขายคงประมาณ 110,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ถึงทิศทางธุรกิจของยักษ์ใหญ่รายนี้พบว่า จะเดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 3 แนวทาง คือการเร่งขยายสาขา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 7,000 สาขา ภายในปี 2556 การขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อลดภาระการลงทุน และการใช้กลยุทธ์การเปิดสาขาประกบ เพื่อปิดทางโตของคู่แข่ง ล่าสุด บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายการร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อให้กับแฟรนไชซี จากเดิมที่มีเพียงธนาคารนครหลวงไทย ก็มีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์เข้ามาร่วมด้วย
วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4180 ประชาชาติธุรกิจ
แนวรบร้านสะดวกซื้อลามถึงต่างจังหวัด เจ้าตลาด “เซเว่นอีเลฟเว่น” เดินเกมเปิดสาขาประกบ “โลตัส เอ็กซ์เพรส” เป็นแซนด์วิช ล้อมกรอบปิดทางไม่ให้โต เผยย่านชุมชน “อุดรฯ-เชียงใหม่” ระอุไม่แพ้กรุงเทพฯ อ้างต่างจังหวัดทำเลดี ๆ มีน้อย จึงต้องเปิดอยู่ใกล้ ๆ ล่าสุดผนึก 3 แบงก์ “นครหลวงไทย-กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์” ปล่อยกู้แฟรนไชซี
ภาพการเผชิญหน้าระหว่างเซเว่น อีเลฟเว่นกับโลตัส เอ็กซ์เพรส เพื่อชิงตลาดคอนวีเนี่ยนสโตร์ ได้เพิ่มดีกรีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการใช้วิธีเปิดสาขามากกว่า 1 แห่ง เพื่อประกบล้อม คู่แข่งเอาไว้ จากเดิมที่กลยุทธ์ดังกล่าวจะมีเฉพาะย่านชุมชนต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ แต่ล่าสุดการเดินเกมรุกของ เซเว่นอีเลฟเว่น เพื่อล้อมกรอบโลตัส เอ็กซ์เพรส ในลักษณะดังกล่าว ได้เกิดขึ้นตามจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ ซึ่งมีการเปิดสาขา 2-3 สาขาในพื้นที่ย่านเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในจังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เซเว่นฯเปิดสาขาประกบโลตัส เอ็กซ์เพรส ในลักษณะแซนด์วิช เช่น ย่านโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งเป็นชุมชนหนาแน่น และเป็นย่านที่พักอาศัย
ก่อนหน้านี้ บริเวณฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม มีเซเว่นฯเปิดให้บริการอยู่ก่อน จากนั้น โลตัส เอ็กซ์เพรส ก็ตามมาเปิดประกบใกล้ ๆ กัน ต่อมาไม่นาน เซเว่นฯก็เปิดสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ทางด้านซ้าย ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร และเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา รวมเป็น 3 สาขา ประกบโลตัส เอ็กซ์เพรส
ส่วนที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันลักษณะดังกล่าวมีให้เห็นบนถนนสายสำคัญ ๆ ที่เป็นย่านการค้าและชุมชน อาทิ ย่านกาดก้อม ใกล้กับวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ทั้ง 2 ค่ายลงทุนเปิดสาขาติดกันตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริเวณถนนสายสุเทพ ย่านตลาดต้นพะยอม หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เซเว่นฯเปิดบริการถึง 6 สาขา ขณะที่โลตัส เอ็กซ์เพรส มีเพียง 1 สาขา ทำให้ถูกเซเว่นฯประกบหัวท้าย ส่วนย่านถนนนิมมานเหมินท์ แม้โลตัส เอ็กซ์เพรส จะเปิดสาขาหลัง เซเว่นฯ แต่ล่าสุด เซเว่นฯใช้กลยุทธ์เปิดสาขาเพิ่มขึ้น เพื่อประกบเป็นแซนด์วิชเช่นกัน
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากหาทำเลดี ๆ หรือเกรดเอในต่างจังหวัดหายากขึ้น ที่ผ่านมาการเปิดสาขาประกบกันมีในหลาย ๆ พื้นที่ แต่ส่วนใหญ่เซเว่นฯถูกคู่แข่งตามประกบมากกว่า
นอกจากพื้นที่ย่านชุมชุมที่มีการแข่งขันสูงแล้ว ปัจจุบันที่พักอาศัยขยายตัวออกไปย่านชานเมืองมากขึ้น รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าก็มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นเช่นกัน
แหล่งข่าวจากเทสโก้ โลตัส ยอมรับว่า ปัจจุบันการแข่งเปิดสาขาในต่างจังหวัดและชานเมืองเริ่มรุนแรงขึ้น นอกจากเซเว่นฯมีแผนการขยายสาขาในแต่ละปีเฉลี่ย 450 แห่งแล้ว 108 ช็อปก็จะขยายสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 400 สาขาภายในปีนี้ ขณะที่แฟมิลี่มาร์ทก็มีนโยบายชัดเจนเน้นขยายสาขาในต่างจังหวัดและเมืองท่องเที่ยว ทำให้การแข่งขันหาพื้นที่ในย่านเกรดเอมีมากขึ้น
“แม้โลตัส เอ็กซ์เพรส มีแผนเปิดสาขาเพิ่มปีละ 60-70 สาขา แต่ธุรกิจหลักยังโฟกัสที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต และปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเน้นเรื่องดิสเพลย์และความโปร่งภายในร้าน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดสาขาประกบคู่แข่งเป็นกลยุทธ์ที่เซเว่นฯใช้มานานนับ 10 ปี ทั้งกรณีร้านเอเอ็ม-พีเอ็ม หรือแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งเป็นคู่แข่งในยุคนั้น
นอกจากนี้เซเว่นฯยังเปิดเกมรุกสร้างรายได้ ด้วยการโฟกัสการขยายสาขาในรูปแบบของการขายแฟรนไชส์ควบคู่ไปด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทุ่มงบฯลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาทขยายสาขาของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นให้ครบ 7,000 สาขา ภายใน 3 ปีข้างหน้า โดยวางแผนลงทุนไว้ปีละ 4,000 ล้านบาท และเน้นขยายสาขาใหม่ในอำเภอขนาดเล็ก ที่มีโอกาส การเติบโต มีประชากรอาศัยหนาแน่น
“ผมบอกไม่ได้ว่า เราจะไปหยุดที่กี่สาขาเมื่อไหร่ เราอาจไปหยุดที่ 10,000 แห่ง เศษ ๆ หรือไม่แน่เลย 10,000 แห่ง เราอาจจะไปได้อีก การเปิดขยายสาขาเราจะเปิดไปเองแบบไม่หยุดเลย ทุกวันเปิด 3 วัน 5 สาขา เราไม่รอคุยกับแฟรนไชส์ เปิดดะเลย ร้านแฟรนไชส์เราต้องเปิดเป็นของเราก่อน แล้วเราค่อยให้แฟรนไชส์มาสวมเข้าไป อย่างไรก็ตาม ปี 2552 ยอดขาย 96,000-97,000 ล้านบาท ปี 2553 คาดว่า ยอดขายเกิน 100,000 ล้านบาทอยู่แล้ว ถึงปี 2554 ยอดขายคงประมาณ 110,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ถึงทิศทางธุรกิจของยักษ์ใหญ่รายนี้พบว่า จะเดินไปพร้อม ๆ กันทั้ง 3 แนวทาง คือการเร่งขยายสาขา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 7,000 สาขา ภายในปี 2556 การขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อลดภาระการลงทุน และการใช้กลยุทธ์การเปิดสาขาประกบ เพื่อปิดทางโตของคู่แข่ง ล่าสุด บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายการร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อให้กับแฟรนไชซี จากเดิมที่มีเพียงธนาคารนครหลวงไทย ก็มีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์เข้ามาร่วมด้วย
วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4180 ประชาชาติธุรกิจ
“แม็คโคร”โล่งเมืองท่องเที่ยวยอดพุ่งอานิสงส์คนหนีม็อบออกตจว.
“แม็คโคร” โล่งอกตัวเลขเมืองท่องเที่ยวเวิร์ก ผลพวงจากคนหนีม็อบออก ตจว. พร้อมเตรียมทุ่มงบฯรีโนเวตสาขาเมืองท่องเที่ยวรับตลาดโฮเรก้าบูม เผยแผนเปิดสาขาใหม่ เมืองกาญจน์-ลพบุรี
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์) แม็คโครมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นเลข 2 หลัก แต่หลังจากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเดือนมีนาคมแม็คโครก็ได้รับผลกระทบบ้าง บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อยเนื่องจากผู้บริโภคเกิดความกังวลโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ขนาดใหญ่
ขณะนี้แม้ว่าหลาย ๆ ธุรกิจอาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าวโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งสมาคมโรงแรมระบุว่าตัวเลขการจองห้องของโรงแรมในกรุงเทพฯลดลง แต่สำหรับแม็คโครเองโดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ถ้าดูจากยอดอาหารสดที่ผ่านมาสาขาเมืองท่องเที่ยวโตมากกว่า 30% ขณะที่สาขาในกรุงเทพฯโตเพียง 10% ส่วนหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวหนีจากกรุงเทพฯไปเที่ยวต่างจังหวัด
“ลูกค้าเราไม่ใช่กลุ่มโรงแรม 5-6 ดาว แต่ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นร้านโชห่วย เป็นรถเข็นริมถนน และอีก 17% เป็นกลุ่ม โฮเรก้าหรือรีสอร์ตต่างจังหวัด บูติคโฮเต็ล การตัดสินใจซื้อของลูกค้าขึ้นอยู่กับกำลังซื้อและอารมณ์ บางคนมีกำลังซื้อแต่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ซื้อ แต่ธุรกิจของแม็คโครขายสินค้าที่เขาจำเป็นต้องซื้อ”
นางสุชาดากล่าวว่า หากเหตุการณ์ลากยาวกระทบถึงการท่องเที่ยวก็อาจกระทบไปถึงกำลังซื้อ แผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้มี 3 แห่ง ที่เปิดไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่กำแพงเพชร และเมษายนนี้มีแผนจะเปิดที่กาญจนบุรี และช่วงกลางปีที่ลพบุรี
ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาตามเมืองท่องเที่ยว 4 แห่งได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย และพัทยา โดยเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วได้ทุ่มงบฯ 50 ล้านบาทในการรีโนเวตสาขาภูเก็ตที่เปิดมา 4-5 ปี โดยติดเครื่องปรับอากาศ เพิ่มตู้แช่ ปรับเลย์เอาต์ ด้วยการนำกลุ่มอาหารสดมาไว้ข้างหน้าเพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโฮเรก้า (โรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจจัดเลี้ยง) จากนี้ไปจะพิจารณารีโนเวตสาขาเมืองท่องเที่ยวต่อ ๆ ไป
และเพื่อกระตุ้นลูกค้าโฮเรก้าที่มีสมาชิกประมาณ 200,000 ราย แม็คโครได้ร่วมกับพันธมิตร 260 ราย จัดงานแม็คโคร โฮเรก้า 2010 ครั้งที่ 5 (18-21 มีนาคม) เปิดโอกาสให้ผู้ต้องการอาชีพเสริมหรือเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจ คาดว่าตลอด 4 วันจะมีผู้เข้าร่วมงาน 70,000 คน เพิ่มจากปีที่แล้วที่จัดงาน 3 วัน และมีผู้ร่วมงาน 50,000 คน ขณะที่ในต่างจังหวัดก็มีการจัดงานโฮเรก้าเดย์ในแต่ละสาขาด้วย
“ปีที่แล้วแม็คโครมีการเติบโต 6% ตลอดทั้งปีนี้คาดว่าบริษัทจะเติบโตมากกว่าจีดีพีของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 4-5%” นางสุชาดากล่าว
วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4195 ประชาชาติธุรกิจ
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์) แม็คโครมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นเลข 2 หลัก แต่หลังจากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเดือนมีนาคมแม็คโครก็ได้รับผลกระทบบ้าง บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อยเนื่องจากผู้บริโภคเกิดความกังวลโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ขนาดใหญ่
ขณะนี้แม้ว่าหลาย ๆ ธุรกิจอาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าวโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งสมาคมโรงแรมระบุว่าตัวเลขการจองห้องของโรงแรมในกรุงเทพฯลดลง แต่สำหรับแม็คโครเองโดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ถ้าดูจากยอดอาหารสดที่ผ่านมาสาขาเมืองท่องเที่ยวโตมากกว่า 30% ขณะที่สาขาในกรุงเทพฯโตเพียง 10% ส่วนหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวหนีจากกรุงเทพฯไปเที่ยวต่างจังหวัด
“ลูกค้าเราไม่ใช่กลุ่มโรงแรม 5-6 ดาว แต่ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นร้านโชห่วย เป็นรถเข็นริมถนน และอีก 17% เป็นกลุ่ม โฮเรก้าหรือรีสอร์ตต่างจังหวัด บูติคโฮเต็ล การตัดสินใจซื้อของลูกค้าขึ้นอยู่กับกำลังซื้อและอารมณ์ บางคนมีกำลังซื้อแต่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ซื้อ แต่ธุรกิจของแม็คโครขายสินค้าที่เขาจำเป็นต้องซื้อ”
นางสุชาดากล่าวว่า หากเหตุการณ์ลากยาวกระทบถึงการท่องเที่ยวก็อาจกระทบไปถึงกำลังซื้อ แผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้มี 3 แห่ง ที่เปิดไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่กำแพงเพชร และเมษายนนี้มีแผนจะเปิดที่กาญจนบุรี และช่วงกลางปีที่ลพบุรี
ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาตามเมืองท่องเที่ยว 4 แห่งได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย และพัทยา โดยเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วได้ทุ่มงบฯ 50 ล้านบาทในการรีโนเวตสาขาภูเก็ตที่เปิดมา 4-5 ปี โดยติดเครื่องปรับอากาศ เพิ่มตู้แช่ ปรับเลย์เอาต์ ด้วยการนำกลุ่มอาหารสดมาไว้ข้างหน้าเพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโฮเรก้า (โรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจจัดเลี้ยง) จากนี้ไปจะพิจารณารีโนเวตสาขาเมืองท่องเที่ยวต่อ ๆ ไป
และเพื่อกระตุ้นลูกค้าโฮเรก้าที่มีสมาชิกประมาณ 200,000 ราย แม็คโครได้ร่วมกับพันธมิตร 260 ราย จัดงานแม็คโคร โฮเรก้า 2010 ครั้งที่ 5 (18-21 มีนาคม) เปิดโอกาสให้ผู้ต้องการอาชีพเสริมหรือเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจ คาดว่าตลอด 4 วันจะมีผู้เข้าร่วมงาน 70,000 คน เพิ่มจากปีที่แล้วที่จัดงาน 3 วัน และมีผู้ร่วมงาน 50,000 คน ขณะที่ในต่างจังหวัดก็มีการจัดงานโฮเรก้าเดย์ในแต่ละสาขาด้วย
“ปีที่แล้วแม็คโครมีการเติบโต 6% ตลอดทั้งปีนี้คาดว่าบริษัทจะเติบโตมากกว่าจีดีพีของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 4-5%” นางสุชาดากล่าว
วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4195 ประชาชาติธุรกิจ
BOLโชว์ยอดขายQ2ทะลัก สยายปีกบุกอาเซียนเต็มสูบ
23 เมษายน 2010
BOLโชว์ยอดขายQ2ทะลัก สยายปีกบุกอาเซียนเต็มสูบ
--------------------------------------------------------------------------------
ทันหุ้น – BOL ดี๊ด๊าไตรมาส 2/53 ยอดขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 74.23 ล้านบาท เล็งเจรจาลูกค้าใหม่ 2 ราย คาดรับทรัพย์เข้ากระเป๋า 30 ล้านบาท แง้มแผนปีหน้าบุกอาเซียนเริ่มชิมรางสิงคโปร์ และมาเลซีย ด้วยการขายผ่านเครือข่าย D&B ที่มีอยู่ทั่วโลก พร้อมแตกไลน์สินค้าใหม่ “สกอร์” เจาะตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา โบรกเจาะกรอบแนวต้านที่ 1.40 บาท ส่วนแนวรับ 1.30 บาท
นายชัยพร เกียรตินันทวิมล รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) BOL เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/53 บริษัทคาดว่ายอดขายและการให้บริการซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 74.23 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 2/53 บริษัทมีการเจรจาลูกค้ารายใหม่ 2 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าในกลุ่มของธนาคารทั้งสองราย โดยหากดีลนี้สำเร็จจะทำให้บริษัทมีรายได้จากลุ่มนี้ประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2553
สำหรับในปีนี้บริษัทได้มีการเจรจาที่จะขยายลูกค้าออกไปยังกลุ่มอาเซียน(AFTA) ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลของประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยเป็นการขายผ่านเครือข่าย D&B ที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะสามารถขายสินค้าและให้บริการข้อมูลของบริษัทในต่างประเทศให้กับลูกค้าในประเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อของประเทศให้แข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นภายในปี 2554
นอกจากนี้บริษัทยังมีการขยายการส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ซึ่งบริษัทจะขายสินค้าใหม่ที่มีชื่อว่า “สกอร์” โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้สินค้าดังกล่าวได้นำเทคนิคทางสถิติและคณิตศาสตร์มาใช้ในวิเคราะห์ ประมวลผล และประเมินสภาพการดำเนินกิจการจากข้อมูลทางการเงินให้ออกมาในรูปแบบของคะแนน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารทางธุรกิจของผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะกับลูกค้ากลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้สะดวกรวดเร็ว แม่นยำ และมีมาตรฐาน
** การเมืองป่วนไร้ผลกระทบ
สำหรับปัญหาทางด้านการเมืองนั้นบริษัทไม่น่าจะได้รับผลกระทบ หรือหากได้รับผลกระทบก็จะน้อยมากเนื่องจากธุรกิจของบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการขายไปต่างประเทศจำนวน 15% ของรายได้รวม และที่เหลือจำนวน 85-90% เป็นสัดส่วนรายได้จากลูกค้าในประเทศ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นกลุ่มของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 5 -10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 269.14 ล้านบาทเนื่องจากในปีนี้เศรษฐกิจด้านซอฟต์แวร์มีการฟื้นตัวขึ้นตามภาวะของโลก รวมทั้งบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และจะมีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเจาะลูกค้าในกลุ่มของแบงค์มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีลูกค้ารายใหม่ในกลุ่มนี้เพิ่มเข้ามาอย่างน้อย 4 ราย
นอกจากนี้ปีนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายลูกค้าผ่านที่ปรึกษาเพิ่มมากขึ้น หรือขายผ่านตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้มีการเจรจาอยู่หลายราย ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการขยายสินค้าของบริษัทอีกช่องทางหนึ่ง
นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)ระบุว่า BOL ในระยะสั้นมีการแกว่งตัวในทิศทางขาลง โดยประเมินแนวต้านที่ 1.40 บาท และแนวรับที่ 1.30 บาท
BOLโชว์ยอดขายQ2ทะลัก สยายปีกบุกอาเซียนเต็มสูบ
--------------------------------------------------------------------------------
ทันหุ้น – BOL ดี๊ด๊าไตรมาส 2/53 ยอดขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 74.23 ล้านบาท เล็งเจรจาลูกค้าใหม่ 2 ราย คาดรับทรัพย์เข้ากระเป๋า 30 ล้านบาท แง้มแผนปีหน้าบุกอาเซียนเริ่มชิมรางสิงคโปร์ และมาเลซีย ด้วยการขายผ่านเครือข่าย D&B ที่มีอยู่ทั่วโลก พร้อมแตกไลน์สินค้าใหม่ “สกอร์” เจาะตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา โบรกเจาะกรอบแนวต้านที่ 1.40 บาท ส่วนแนวรับ 1.30 บาท
นายชัยพร เกียรตินันทวิมล รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) BOL เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/53 บริษัทคาดว่ายอดขายและการให้บริการซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 74.23 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 2/53 บริษัทมีการเจรจาลูกค้ารายใหม่ 2 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าในกลุ่มของธนาคารทั้งสองราย โดยหากดีลนี้สำเร็จจะทำให้บริษัทมีรายได้จากลุ่มนี้ประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ของปี 2553
สำหรับในปีนี้บริษัทได้มีการเจรจาที่จะขยายลูกค้าออกไปยังกลุ่มอาเซียน(AFTA) ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลของประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยเป็นการขายผ่านเครือข่าย D&B ที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะสามารถขายสินค้าและให้บริการข้อมูลของบริษัทในต่างประเทศให้กับลูกค้าในประเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อของประเทศให้แข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นภายในปี 2554
นอกจากนี้บริษัทยังมีการขยายการส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ซึ่งบริษัทจะขายสินค้าใหม่ที่มีชื่อว่า “สกอร์” โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้สินค้าดังกล่าวได้นำเทคนิคทางสถิติและคณิตศาสตร์มาใช้ในวิเคราะห์ ประมวลผล และประเมินสภาพการดำเนินกิจการจากข้อมูลทางการเงินให้ออกมาในรูปแบบของคะแนน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้บริหารทางธุรกิจของผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะกับลูกค้ากลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้สะดวกรวดเร็ว แม่นยำ และมีมาตรฐาน
** การเมืองป่วนไร้ผลกระทบ
สำหรับปัญหาทางด้านการเมืองนั้นบริษัทไม่น่าจะได้รับผลกระทบ หรือหากได้รับผลกระทบก็จะน้อยมากเนื่องจากธุรกิจของบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการขายไปต่างประเทศจำนวน 15% ของรายได้รวม และที่เหลือจำนวน 85-90% เป็นสัดส่วนรายได้จากลูกค้าในประเทศ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นกลุ่มของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 5 -10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 269.14 ล้านบาทเนื่องจากในปีนี้เศรษฐกิจด้านซอฟต์แวร์มีการฟื้นตัวขึ้นตามภาวะของโลก รวมทั้งบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น และจะมีการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเจาะลูกค้าในกลุ่มของแบงค์มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีลูกค้ารายใหม่ในกลุ่มนี้เพิ่มเข้ามาอย่างน้อย 4 ราย
นอกจากนี้ปีนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายลูกค้าผ่านที่ปรึกษาเพิ่มมากขึ้น หรือขายผ่านตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันบริษัทได้มีการเจรจาอยู่หลายราย ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการขยายสินค้าของบริษัทอีกช่องทางหนึ่ง
นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)ระบุว่า BOL ในระยะสั้นมีการแกว่งตัวในทิศทางขาลง โดยประเมินแนวต้านที่ 1.40 บาท และแนวรับที่ 1.30 บาท
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
FARMHOUSE พิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน
บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ได้มีพิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ฟาร์มเฮ้าส์ ทุ่ม 1,200 ล้าน เปิดโรงงานแห่งใหม่ใหญ ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฟาร์มเฮ้าส์ เดินหน้าเปิดโรงงานแห่งที่ 3 ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย คุณบุญสิทธ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโรงงานบางชันแห่งใหม่ ด้วยงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท
นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเบเกอรี่ชื่อดังตราฟาร์มเฮ้าส์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ฟาร์มเฮ้าส์ทุกประเภทได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ล่าสุด คือ ขนมปังสอดไส้ 2 ชั้น ทูวันเดอร์บัน ทั้ง 3 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดงนม มอคค่านม และช็อกโกแลตคัสตาร์ด ยังได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ดังนั้น โรงงานเดิม 2 แห่งที่ลาดกระบัง จึงมีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ บริษัทฯ จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางชัน บนพื้นที่กว่า 12.5 ไร่ พื้นที่การผลิตกว่า 38,000 ตารางเมตร ด้วยงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท
"โรงงานบางชันเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของฟาร์มเฮ้าส์ นับเป็นโรงงานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการผลิตขนมปังชนิดแผ่น ขนมปังสอดไส้ และนวัตกรรมใหม่ ขนมปังสอดไส้ 2 ชั้นรายแรกในไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยทุกขั้นตอน ผลิตด้วยระบบออโตเมติก ผู้บริโภคจึงมั่นใจในความสะอาด ปลอดภัย และคุณภาพที่ได้มาตรฐาน"
นายอภิชาติ กล่าว นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่บางชันจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก20% ซึ่งความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นประกอบกับฟาร์มเฮ้าส์มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่าหลังจากเปิดโรงงานบางชันแล้วจะส่งผลให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15%
ฟาร์มเฮ้าส์ ทุ่ม 1,200 ล้าน เปิดโรงงานแห่งใหม่ใหญ ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฟาร์มเฮ้าส์ เดินหน้าเปิดโรงงานแห่งที่ 3 ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย คุณบุญสิทธ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโรงงานบางชันแห่งใหม่ ด้วยงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท
นายอภิชาติ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเบเกอรี่ชื่อดังตราฟาร์มเฮ้าส์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ฟาร์มเฮ้าส์ทุกประเภทได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ล่าสุด คือ ขนมปังสอดไส้ 2 ชั้น ทูวันเดอร์บัน ทั้ง 3 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดงนม มอคค่านม และช็อกโกแลตคัสตาร์ด ยังได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ดังนั้น โรงงานเดิม 2 แห่งที่ลาดกระบัง จึงมีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ บริษัทฯ จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่บางชัน บนพื้นที่กว่า 12.5 ไร่ พื้นที่การผลิตกว่า 38,000 ตารางเมตร ด้วยงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท
"โรงงานบางชันเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของฟาร์มเฮ้าส์ นับเป็นโรงงานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการผลิตขนมปังชนิดแผ่น ขนมปังสอดไส้ และนวัตกรรมใหม่ ขนมปังสอดไส้ 2 ชั้นรายแรกในไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยทุกขั้นตอน ผลิตด้วยระบบออโตเมติก ผู้บริโภคจึงมั่นใจในความสะอาด ปลอดภัย และคุณภาพที่ได้มาตรฐาน"
นายอภิชาติ กล่าว นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่บางชันจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก20% ซึ่งความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นประกอบกับฟาร์มเฮ้าส์มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่าหลังจากเปิดโรงงานบางชันแล้วจะส่งผลให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15%
เล่นที่ผ่านหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 เมษายน 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความร่ำรวยมหาศาลที่ได้มาอย่างสุจริตนั้น ในอดีตมักจะมาจากการทำธุรกิจและการซื้อที่ดิน มีคำพูดที่ว่า คนจีนนั้นร่ำรวยจากการทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในเมือง ส่วน “แขก” นั้น จับจองที่ดินผืนใหญ่ชานเมืองเลี้ยงวัวและก็ร่ำรวยมหาศาลจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น มาถึงยุคปัจจุบัน การทำธุรกิจก็ยังเป็นหนทางที่ทำให้ร่ำรวยได้มหาศาล แต่ก็ยากขึ้นมากสำหรับคนที่ไม่ได้มีต้นทุนเดิมที่ใหญ่พอ พูดง่าย ๆ สำหรับคนไทยที่ไม่ได้มีพ่อแม่ที่มีฐานะร่ำรวย การเริ่มธุรกิจที่จะสามารถเติบโตมหาศาลก็ยากมาก เพราะในเมืองไทยเราไม่มีอุตสาหกรรม “ไซเบอร์” ที่มีศักยภาพพอที่จะทำให้คนตัวเล็ก ๆ สร้างธุรกิจจนร่ำรวยได้ง่ายเหมือนอย่างในอเมริกาหรือจีน ส่วนเรื่องที่ดินนั้น สำหรับคนที่มีเงินมาก การเล่นที่ก็ยังเป็นหนทางสร้างความมั่งคั่งที่น่าจะโดดเด่นไม่แพ้การทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่คนมีเงินน้อยจะเข้าไปเล่นที่ได้ การจับจองที่ดินถูก ๆ เพื่อ “เลี้ยงวัว” ไม่มีอีกแล้ว
โชคดีที่ตลาดหุ้นเกิดขึ้น คน “ตัวเล็กตัวน้อย” นั่นก็คือนักลงทุนที่มีเงินเพียงน้อยนิดสามารถ “ซื้อธุรกิจ” ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนของธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ดีหรือเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดของประเทศได้ ผลก็คือ นักลงทุนบางคนสามารถที่จะสร้างความมั่งคั่งและร่ำรวยมหาศาลได้ทั้งที่ไม่ได้มีต้นทุนเงินมากมายในตอนเริ่มแรก และเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่านี้อีก ผมเชื่อว่าจะมีคนร่ำรวยจากการ “ทำธุรกิจ” ผ่านตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมยังเชื่อด้วยว่า ในที่สุด คนที่รวยโดยการทำธุรกิจผ่านตลาดหุ้นจะเป็นเรื่อง “ปกติ” เช่นเดียวกับคนที่รวยจากการทำธุรกิจด้วยตนเอง
คนที่รวยจากการเล่นที่นั้น อาจจะดูว่าอย่างไรเสียก็คงเป็นเรื่องของคนที่มีเงินมากเท่านั้น ว่าที่จริงในปัจจุบันน่าจะยากขึ้นไปอีกสำหรับคนที่มีเงินน้อยเพราะราคาที่ดินสูงขึ้นมาก ข้อนี้ ถ้ามองอย่างผิวเผินก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งก็จะพบว่าอาจจะไม่จริง เพราะตลาดหุ้นนั้น มี “กลไก” ในการที่เราจะสามารถลงทุนหรือ “เล่น” ที่ดิน ผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ มันอาจจะไม่ใช่การลงทุนในที่ดินโดยตรง แต่มันก็ส่งผลคล้ายกัน นั่นก็คือ ถ้าราคาที่ดินที่ถือโดยบริษัทจดทะเบียนที่เราลงทุนนั้นปรับตัวขึ้นไป ราคาหุ้นที่เราถืออยู่ก็จะปรับตัวขึ้นไปด้วยแม้ว่าจะปรับขึ้นไม่เท่ากัน ผลก็คือ เราสามารถลงทุนใน “ที่ดิน” และ/หรือสิ่งปลูกสร้างได้ด้วยเงินเพียงน้อยนิด เหนือสิ่งอื่นใด เวลาที่เราลงทุนในหุ้น เราก็มักจะได้รับปันผลทุกปีในขณะที่การลงทุนซื้อที่ดินโดยตรงนั้น เราจะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อเราขายที่ดินนั้นแล้ว
การ “เล่นที่ผ่านหุ้น” นั้น ที่จะได้ผลใกล้เคียงกับการเล่นที่จริง ๆ ก็คือ การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพราะกองทุนจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาและมีรายได้แล้ว ผู้ถือหน่วยลงทุนก็คือ “เจ้าของ” บางส่วนของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่ ดังนั้น ด้วยเงินลงทุนเพียงน้อยนิด เราก็เป็นเจ้าของที่และสิ่งปลูกสร้างที่ดีมากได้ เหนือสิ่งอื่นใด รายได้ที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตาม กองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นวิวัฒนาการที่ยังค่อนข้างใหม่ ดังนั้น การลงทุนก็คงต้องศึกษาและทำอย่างระมัดระวัง
การเล่นที่ผ่านหุ้นอีกแบบหนึ่งก็คือ มองหาหุ้นของบริษัทที่เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าหุ้นของบริษัท การซื้อหุ้นเหล่านั้นเท่ากับว่าเราเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางส่วนนอกเหนือจากธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทที่อาจจะทำกำไรได้ดีอยู่แล้ว ถ้าเราคำนวณหรือพิจารณาดูแล้วว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นในไม่ช้าก็จะ “แปลง” เป็นเงินสดและกำไรออกมาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งและมันมีมูลค่ามากกว่าค่าหุ้นที่เราจะจ่ายในวันนี้มาก การซื้อหุ้นเหล่านั้นก็จะให้ผลตอบแทนที่ดี และนี่ก็คือแนวทางลงทุนในสไตล์ของ Assets Play เพียงแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นเรื่องของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่บริษัทอาจจะไม่จำเป็นต้องขายทรัพย์สินเพื่อที่จะสร้างเงินสดหรือกำไรโดยตรง
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมไม่ใคร่สนใจหุ้น Assets Play หรือหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมรู้สึกว่าราคาที่ดินโดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองที่เจริญที่สุดของประเทศนั้น มีราคาเพิ่มขึ้นไปเร็วและสูงมาก ประเด็นก็คือ ผมแทบจะไม่มีการลงทุนในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เลย ว่าที่จริงแม้แต่บ้านอยู่อาศัยของตนเองก็ยังไม่มี ผมรู้สึกว่าผม “ตกรถ” ที่ดินรอบนี้อย่างแรง ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยผมเคยคิดว่าจะซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านย่านกลางเมืองแต่ก็ไม่ได้ทำ เวลานี้ราคาที่ดินขึ้นไปแล้วอย่างแรงมาก ผมจะทำอย่างไร? ทางหนึ่งก็คือ ตามไปซื้อที่ราคาแพงซึ่งผมไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม แต่อีกทางหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะยังไม่สายเกินไปก็คือ ไปซื้อที่ดิน “ผ่านหุ้น” ของบริษัทที่มีที่ดินที่ดีที่สุดของเมืองไทยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้น ผมพบว่าหุ้นหลายตัวเข้าข่ายนั้น ผมเลือกหุ้นตัวที่ดีที่สุดแล้วก็ซื้อเก็บไว้ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นมากนั้นจะแปลงออกมาเป็นเงินสดและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ “ตกรถ” ที่ดินในรอบนี้
การลงทุนซื้อที่ดิน “ผ่านหุ้น” นั้น เราจะต้องมองให้ออกว่าที่ดินที่บริษัทถืออยู่นั้นเป็นที่ดินอะไร บางบริษัทอาจจะเป็นที่ดินการเกษตรที่มีแต่ราคาแต่อาจจะแปลงเป็นเงินสดได้ยากมาก แบบนี้ก็ต้องคิดว่าเราอยากได้ไหม ที่ดินของบางบริษัทอาจเป็นที่ดินในต่างจังหวัดที่ราคาไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและไม่มีราคาตลาดที่จะอ้างอิงได้ชัดเจน แบบนี้เราก็ต้องเผื่อ Margin Of Safety ในการคำนวณมากหน่อย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจมากนั้นก็คือที่ดินย่านใจกลางของธุรกิจซึ่งจากประสบการณ์ทั่วโลกพบว่า มันมักมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วและเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีโดยที่กิจการไม่จำเป็นต้องขายออกไป ซึ่งนี่ก็ช่วยลดความเสี่ยงที่ว่า ที่ดินอาจจะมากแต่มันก็อยู่ของมันโดยไม่ได้สร้างรายได้และกำไรออกมาและถ้าบริษัทจะขายก็ไม่มีคนซื้อ
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ความร่ำรวยมหาศาลที่ได้มาอย่างสุจริตนั้น ในอดีตมักจะมาจากการทำธุรกิจและการซื้อที่ดิน มีคำพูดที่ว่า คนจีนนั้นร่ำรวยจากการทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในเมือง ส่วน “แขก” นั้น จับจองที่ดินผืนใหญ่ชานเมืองเลี้ยงวัวและก็ร่ำรวยมหาศาลจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น มาถึงยุคปัจจุบัน การทำธุรกิจก็ยังเป็นหนทางที่ทำให้ร่ำรวยได้มหาศาล แต่ก็ยากขึ้นมากสำหรับคนที่ไม่ได้มีต้นทุนเดิมที่ใหญ่พอ พูดง่าย ๆ สำหรับคนไทยที่ไม่ได้มีพ่อแม่ที่มีฐานะร่ำรวย การเริ่มธุรกิจที่จะสามารถเติบโตมหาศาลก็ยากมาก เพราะในเมืองไทยเราไม่มีอุตสาหกรรม “ไซเบอร์” ที่มีศักยภาพพอที่จะทำให้คนตัวเล็ก ๆ สร้างธุรกิจจนร่ำรวยได้ง่ายเหมือนอย่างในอเมริกาหรือจีน ส่วนเรื่องที่ดินนั้น สำหรับคนที่มีเงินมาก การเล่นที่ก็ยังเป็นหนทางสร้างความมั่งคั่งที่น่าจะโดดเด่นไม่แพ้การทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่คนมีเงินน้อยจะเข้าไปเล่นที่ได้ การจับจองที่ดินถูก ๆ เพื่อ “เลี้ยงวัว” ไม่มีอีกแล้ว
โชคดีที่ตลาดหุ้นเกิดขึ้น คน “ตัวเล็กตัวน้อย” นั่นก็คือนักลงทุนที่มีเงินเพียงน้อยนิดสามารถ “ซื้อธุรกิจ” ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนของธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ดีหรือเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดของประเทศได้ ผลก็คือ นักลงทุนบางคนสามารถที่จะสร้างความมั่งคั่งและร่ำรวยมหาศาลได้ทั้งที่ไม่ได้มีต้นทุนเงินมากมายในตอนเริ่มแรก และเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่านี้อีก ผมเชื่อว่าจะมีคนร่ำรวยจากการ “ทำธุรกิจ” ผ่านตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมยังเชื่อด้วยว่า ในที่สุด คนที่รวยโดยการทำธุรกิจผ่านตลาดหุ้นจะเป็นเรื่อง “ปกติ” เช่นเดียวกับคนที่รวยจากการทำธุรกิจด้วยตนเอง
คนที่รวยจากการเล่นที่นั้น อาจจะดูว่าอย่างไรเสียก็คงเป็นเรื่องของคนที่มีเงินมากเท่านั้น ว่าที่จริงในปัจจุบันน่าจะยากขึ้นไปอีกสำหรับคนที่มีเงินน้อยเพราะราคาที่ดินสูงขึ้นมาก ข้อนี้ ถ้ามองอย่างผิวเผินก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งก็จะพบว่าอาจจะไม่จริง เพราะตลาดหุ้นนั้น มี “กลไก” ในการที่เราจะสามารถลงทุนหรือ “เล่น” ที่ดิน ผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้ มันอาจจะไม่ใช่การลงทุนในที่ดินโดยตรง แต่มันก็ส่งผลคล้ายกัน นั่นก็คือ ถ้าราคาที่ดินที่ถือโดยบริษัทจดทะเบียนที่เราลงทุนนั้นปรับตัวขึ้นไป ราคาหุ้นที่เราถืออยู่ก็จะปรับตัวขึ้นไปด้วยแม้ว่าจะปรับขึ้นไม่เท่ากัน ผลก็คือ เราสามารถลงทุนใน “ที่ดิน” และ/หรือสิ่งปลูกสร้างได้ด้วยเงินเพียงน้อยนิด เหนือสิ่งอื่นใด เวลาที่เราลงทุนในหุ้น เราก็มักจะได้รับปันผลทุกปีในขณะที่การลงทุนซื้อที่ดินโดยตรงนั้น เราจะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อเราขายที่ดินนั้นแล้ว
การ “เล่นที่ผ่านหุ้น” นั้น ที่จะได้ผลใกล้เคียงกับการเล่นที่จริง ๆ ก็คือ การซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพราะกองทุนจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาและมีรายได้แล้ว ผู้ถือหน่วยลงทุนก็คือ “เจ้าของ” บางส่วนของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่ ดังนั้น ด้วยเงินลงทุนเพียงน้อยนิด เราก็เป็นเจ้าของที่และสิ่งปลูกสร้างที่ดีมากได้ เหนือสิ่งอื่นใด รายได้ที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี อย่างไรก็ตาม กองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นวิวัฒนาการที่ยังค่อนข้างใหม่ ดังนั้น การลงทุนก็คงต้องศึกษาและทำอย่างระมัดระวัง
การเล่นที่ผ่านหุ้นอีกแบบหนึ่งก็คือ มองหาหุ้นของบริษัทที่เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าหุ้นของบริษัท การซื้อหุ้นเหล่านั้นเท่ากับว่าเราเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางส่วนนอกเหนือจากธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทที่อาจจะทำกำไรได้ดีอยู่แล้ว ถ้าเราคำนวณหรือพิจารณาดูแล้วว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นในไม่ช้าก็จะ “แปลง” เป็นเงินสดและกำไรออกมาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งและมันมีมูลค่ามากกว่าค่าหุ้นที่เราจะจ่ายในวันนี้มาก การซื้อหุ้นเหล่านั้นก็จะให้ผลตอบแทนที่ดี และนี่ก็คือแนวทางลงทุนในสไตล์ของ Assets Play เพียงแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นเรื่องของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่บริษัทอาจจะไม่จำเป็นต้องขายทรัพย์สินเพื่อที่จะสร้างเงินสดหรือกำไรโดยตรง
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมไม่ใคร่สนใจหุ้น Assets Play หรือหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมรู้สึกว่าราคาที่ดินโดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองที่เจริญที่สุดของประเทศนั้น มีราคาเพิ่มขึ้นไปเร็วและสูงมาก ประเด็นก็คือ ผมแทบจะไม่มีการลงทุนในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เลย ว่าที่จริงแม้แต่บ้านอยู่อาศัยของตนเองก็ยังไม่มี ผมรู้สึกว่าผม “ตกรถ” ที่ดินรอบนี้อย่างแรง ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยผมเคยคิดว่าจะซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านย่านกลางเมืองแต่ก็ไม่ได้ทำ เวลานี้ราคาที่ดินขึ้นไปแล้วอย่างแรงมาก ผมจะทำอย่างไร? ทางหนึ่งก็คือ ตามไปซื้อที่ราคาแพงซึ่งผมไม่รู้ว่าจะคุ้มไหม แต่อีกทางหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจจะยังไม่สายเกินไปก็คือ ไปซื้อที่ดิน “ผ่านหุ้น” ของบริษัทที่มีที่ดินที่ดีที่สุดของเมืองไทยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้น ผมพบว่าหุ้นหลายตัวเข้าข่ายนั้น ผมเลือกหุ้นตัวที่ดีที่สุดแล้วก็ซื้อเก็บไว้ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นมากนั้นจะแปลงออกมาเป็นเงินสดและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ “ตกรถ” ที่ดินในรอบนี้
การลงทุนซื้อที่ดิน “ผ่านหุ้น” นั้น เราจะต้องมองให้ออกว่าที่ดินที่บริษัทถืออยู่นั้นเป็นที่ดินอะไร บางบริษัทอาจจะเป็นที่ดินการเกษตรที่มีแต่ราคาแต่อาจจะแปลงเป็นเงินสดได้ยากมาก แบบนี้ก็ต้องคิดว่าเราอยากได้ไหม ที่ดินของบางบริษัทอาจเป็นที่ดินในต่างจังหวัดที่ราคาไม่ใคร่เพิ่มขึ้นและไม่มีราคาตลาดที่จะอ้างอิงได้ชัดเจน แบบนี้เราก็ต้องเผื่อ Margin Of Safety ในการคำนวณมากหน่อย ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจมากนั้นก็คือที่ดินย่านใจกลางของธุรกิจซึ่งจากประสบการณ์ทั่วโลกพบว่า มันมักมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วและเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีโดยที่กิจการไม่จำเป็นต้องขายออกไป ซึ่งนี่ก็ช่วยลดความเสี่ยงที่ว่า ที่ดินอาจจะมากแต่มันก็อยู่ของมันโดยไม่ได้สร้างรายได้และกำไรออกมาและถ้าบริษัทจะขายก็ไม่มีคนซื้อ
“โรบินสัน”ปูพรม8สาขาใหม่บุกตจว. ทุ่ม3พันล.วาง3ยุทธศาสตร์ย้ำภาพแฟชั่น-ลักเซอรี่
“โรบินสัน” เร่งขยายสาขาทั่วประเทศ ทุ่ม 3 พันล้าน ปูพรม 8 สาขาใหม่เน้น ต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ เตรียมเสนอบอร์ดอนุมัติ พร้อมเปิดแผนปีหน้าวาง 3 ยุทธศาสตร์ ย้ำภาพความต่างแฟชั่น-ลักเซอรี่ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขาย ไพรเวต-แบรนด์ มั่นใจสาขาใหม่ขอนแก่นดันยอดขายปลายปีโต 10%
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดแผนธุรกิจปีหน้าว่า โรบินสันได้วาง 3 ยุทธศาสตร์หลักที่จะโฟกัสต่อจากนี้ คือ 1.การเร่งขยายสาขามากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่มีกลุ่มลูกค้าที่ศักยภาพด้านกำลังซื้อสูง
แต่ที่ผ่านมาโรบินสันยังไม่ได้เข้าไป ซึ่งตามแผนงานลงทุนที่วางไว้ในช่วง 3 ปี จากนี้ไปโรบินสันได้วางงบฯลงทุน 3,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ 8แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แต่จะให้น้ำหนักไปที่ตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก
โดยปลายเดือนพฤศจิกายนนี้จะเสนอแผนงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท และคาดว่าจะได้รับการเห็นชอบตามที่เสนอ ทั้งนี้ รูปแบบการขยายสาขาใหม่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น คือสามารถไปได้ทั้งกับศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา (ซีพีเอ็น) และผู้ลงทุนค้าปลีกอื่น ๆ แต่ทั้งหมดจะไปพร้อมกับศูนย์การค้า ไม่ใช่สแตนด์อะโลน ส่วนขนาดของสาขาใหม่จะขึ้นอยู่กับพื้นที่และดีมานด์ของ กลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งโรบินสัน มีโมเดลขนาดตั้งแต่ 8,000-20,000 ตร.ม.
นอกจากการลงทุนสาขาใหม่แล้ว นายปรีชากล่าวว่า โรบินสันจะเน้นรูปแบบการตลาดด้วยกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มเพื่อสร้างความใกล้ชิดและดึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในฐานสมาชิกเดอะ 1 การ์ด ที่มีจำนวน 1.2 ล้านสมาชิก และพบว่าเป็นกลุ่มที่เข้ามาซื้อสินค้าในห้างต่อเนื่องกว่า 6 แสนสมาชิก
รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์โรบินสันเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่เป็นโรบินสันเป็นและกำลังจะทำ พร้อมการชูความต่างแฟชั่น-ลักเซอรี่ในราคาที่ลูกค้าเข้าถึงง่าย จากเดิมที่ผ่านมาโรบินสันอาจจะให้ความสำคัญที่เร่งของการสร้างยอดขาย และเพิ่มสัดส่วนสินค้าไพรเวตแบรนด์ที่มีมากกว่า 25 แบรนด์ให้มากขึ้นจาก 7% ของยอดขายรวม เป็น 10% ภายใน 3 ปี ควบคู่กับการเร่งรีโนเวตปรับโฉมสาขาราชบุรี รัตนาธิเบศร์ จันทบุรี และหาดใหญ่ ให้ทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ นายปรีชามองภาพรวมธุรกิจในช่วงปลายปีว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่เข้ามาสร้างสีสันและดันยอดขายรวมของตลาด โดยโรบินสันตั้งเป้ายอดขายในช่วงปลายปีโต 10% นอกจากแคมเปญในแต่ละสาขาที่เพิ่มขึ้นแล้ว การเปิดสาขาใหม่ที่ขอนแก่นในต้นเดือนธันวาคมจะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ โดยบริษัทได้ลงทุนในสาขานี้ 680 ล้านบาท บนพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ในคอนเซ็ปต์แฟชั่นและความหรูหรา ในรูปแบบเดียวกับไลน์สินค้าและแบรนด์จากสาขากรุงเทพฯ คาดว่าทั้งปียอดขายรวมจะเป็นไปตามเป้า 3% จากยอดขาย 3 ไตรมาสที่ผ่านมา 9,889 ล้านบาท
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดแผนธุรกิจปีหน้าว่า โรบินสันได้วาง 3 ยุทธศาสตร์หลักที่จะโฟกัสต่อจากนี้ คือ 1.การเร่งขยายสาขามากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่มีกลุ่มลูกค้าที่ศักยภาพด้านกำลังซื้อสูง
แต่ที่ผ่านมาโรบินสันยังไม่ได้เข้าไป ซึ่งตามแผนงานลงทุนที่วางไว้ในช่วง 3 ปี จากนี้ไปโรบินสันได้วางงบฯลงทุน 3,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ 8แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด แต่จะให้น้ำหนักไปที่ตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก
โดยปลายเดือนพฤศจิกายนนี้จะเสนอแผนงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท และคาดว่าจะได้รับการเห็นชอบตามที่เสนอ ทั้งนี้ รูปแบบการขยายสาขาใหม่จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น คือสามารถไปได้ทั้งกับศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา (ซีพีเอ็น) และผู้ลงทุนค้าปลีกอื่น ๆ แต่ทั้งหมดจะไปพร้อมกับศูนย์การค้า ไม่ใช่สแตนด์อะโลน ส่วนขนาดของสาขาใหม่จะขึ้นอยู่กับพื้นที่และดีมานด์ของ กลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งโรบินสัน มีโมเดลขนาดตั้งแต่ 8,000-20,000 ตร.ม.
นอกจากการลงทุนสาขาใหม่แล้ว นายปรีชากล่าวว่า โรบินสันจะเน้นรูปแบบการตลาดด้วยกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มเพื่อสร้างความใกล้ชิดและดึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในฐานสมาชิกเดอะ 1 การ์ด ที่มีจำนวน 1.2 ล้านสมาชิก และพบว่าเป็นกลุ่มที่เข้ามาซื้อสินค้าในห้างต่อเนื่องกว่า 6 แสนสมาชิก
รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์โรบินสันเพื่อตอกย้ำในสิ่งที่เป็นโรบินสันเป็นและกำลังจะทำ พร้อมการชูความต่างแฟชั่น-ลักเซอรี่ในราคาที่ลูกค้าเข้าถึงง่าย จากเดิมที่ผ่านมาโรบินสันอาจจะให้ความสำคัญที่เร่งของการสร้างยอดขาย และเพิ่มสัดส่วนสินค้าไพรเวตแบรนด์ที่มีมากกว่า 25 แบรนด์ให้มากขึ้นจาก 7% ของยอดขายรวม เป็น 10% ภายใน 3 ปี ควบคู่กับการเร่งรีโนเวตปรับโฉมสาขาราชบุรี รัตนาธิเบศร์ จันทบุรี และหาดใหญ่ ให้ทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ นายปรีชามองภาพรวมธุรกิจในช่วงปลายปีว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่เข้ามาสร้างสีสันและดันยอดขายรวมของตลาด โดยโรบินสันตั้งเป้ายอดขายในช่วงปลายปีโต 10% นอกจากแคมเปญในแต่ละสาขาที่เพิ่มขึ้นแล้ว การเปิดสาขาใหม่ที่ขอนแก่นในต้นเดือนธันวาคมจะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ โดยบริษัทได้ลงทุนในสาขานี้ 680 ล้านบาท บนพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ในคอนเซ็ปต์แฟชั่นและความหรูหรา ในรูปแบบเดียวกับไลน์สินค้าและแบรนด์จากสาขากรุงเทพฯ คาดว่าทั้งปียอดขายรวมจะเป็นไปตามเป้า 3% จากยอดขาย 3 ไตรมาสที่ผ่านมา 9,889 ล้านบาท
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)