วันนี้พยายามมานั่งนึกถึงการลงทุนในอดีต นับเฉพาะครั้งที่ได้โฮมรัน ก็นึกถึง it, scnyl, pdi, pb, hmpro, cpf แล้วนึกว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ได้โฮมรัน สำหรับ it, pb, hmpro ก็จำได้ว่า ตอนที่ลงทุนนั้น มันดีอยู่แล้ว คือกำไรมันโตพรวดพราดอยู่แล้ว แต่ราคามันยังต่ำ ไม่ว่าจะดูจากพีอี หรือ ปันผล หรือ จะทำ dcf มันชัดเจนว่ากำไรโต ราคายังไม่ไปไหน ส่วน pdi นั้นเป็นการเก็งว่าราคาสังกะสีจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ cpf ก็เข้าไปซื้อตอนมันตกต่ำ เพราะเก็งว่ามันเป็นวัฏจักร เดี๋ยวมันก็กลับมา ส่วน scnyl นั้นตอนซื้อครั้งแรกนั้น ธุรกิจเค้ามีการเปลี่ยนแปลง จากขายประกันกิ๊กก็อก เป็นขายในแบงค์ไทยพาณิชย์ เราก็คาดว่ามันต้องกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็ถือมาเรื่อย จนมันกำไรโตให้เห็น แล้วราคาหุ้นก็ขึ้นมาตามปัจจัยต่างๆ
แล้วพอมานั่งคิดทบทวนว่าการลงทุนในหุ้นชั้นดี ที่กำไรโตให้เห็นแล้ว แต่ราคายังถูกอยู่นั้น ให้ผลตอบแทนที่ดี ในเวลาไม่นาน แล้วก็ไม่เหนื่อยด้วย ไม่ต้องเก็งโน่น นี่ นั่น แค่ซื้อ แล้วถือไปเรื่อยๆ เมื่อมานับๆดู การลงทุนที่ดี โอกาสที่ดีจริงๆแบบนี้ ในรอบห้าปีมีถึง ห้าครั้ง ที่เราสามารถเข้าใจได้ สามารถลงทุนได้ แต่เราก็เก็บเกี่ยวได้ไม่หมด เช่น it ตอนนั้นมีน้อยไป hmpro ไม่กล้าซื้อเพิ่ม scnyl ก็เสียดายที่ขายไปตอน 70-80 แต่ก็ยังดีที่ได้ถือ pb ในจำนวนค่อนข้างมาก เลยได้ผลตอบแทนที่ดี โอกาสอื่นๆนั้น มาพร้อมกับราคาที่สูงแล้ว แม้มันจะสูงขึ้นอีกมาก เราก็ไม่กล้าแล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่วอร์เรนเรียกว่า waiting for the perfect pitch
โอกาสงามๆนี้มีถึงห้าครั้ง ที่เราเข้าใจได้ แต่มาในแค่สองช่วงเวลา คือ ปี47 กับปี51 ต้องรอกันถึงสี่ปีทีเดียว แต่ถ้าเราทำการบ้านดีๆ คิดว่าน่าจะมีโอกาสมากกว่านี้ แต่แค่เราตีเฉพาะลูกที่อยู่ในโซนตีลูก สองครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทนเกินห้าเท่าตัวแล้ว ต่อไปนี้ก็จะเน้นอยู่แค่ในหุ้นที่เราเข้าใจได้ และลงทุนในเวลาที่สมบูรณ์แบบ
มีหลายครั้งมากที่กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ราคาพุ่งไปก่อนแล้ว เพราะเรามีนักลงทุนที่เก่งกาจ ผู้มองอนาคตได้แม่นยำ ทำให้โอกาสในการลงทุนของเราน้อยลงไป แต่การพยายามเข้าไปแข่งกับคนเหล่านี้ก็เหมือนการไปแข่งบาสกับโคบี้ ไบรอัน เราคงได้รับแต่ความพ่ายแพ้กลับมา แต่หวังว่า ในอีกห้าปีข้างหน้า จะมีวันที่ตลาดขาดประสิทธิภาพอีกสักปีละครั้งก็พอครับ
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ลงทุนในธุรกิจไอที
ที่จริงก่อนหน้านี้ก็สนใจไอทีซิตี้มาโดยตลอด เพราะเค้ามีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอ เคยซื้อแล้วก็ขายออกไป เมื่อหลายปีก่อน เพราะตอนนั้น พีอีเกินยี่สิบเท่า ก็เพราะมองสั้นๆเลยขายไปแถวๆสิบบาท แต่กลับกลายเป็นว่า ราคามันลงมาให้ซื้ออีกที่ต่ำๆ ตอนนี้ ราคา5บาทนิดๆ ก็ค่อนข้างจะไม่แพง
เมื่อมองจากมุมมองระยะยาวแล้ว ไอทีซิตี้มีความน่าสนใจ เพราะเค้ามีผลการดำเนินงานที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอ แล้วก็สูงมากด้วย ในช่วงภาวะปกติ it city จะมี roe สูงราวๆ 18% สองสามปีมานี้ เค้าประสบกับภาวะที่ค่อนข้างแย่ มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง โรคระบาด ซึ่งผลัดกันโจมตีประเทศไทยมาตลอดสองสามปีแล้ว แต่เมื่อกลับมาดู roe ของบริษัทก็ลดลงเพียงเล็กน้อย อยู่ที่ระดับต่ำสุดเพียง 14% กว่าๆ ซึ่งสำหรับบริษัทส่วนใหญ่แล้ว ตัวเลขนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อกลับมาดูผลกำไร ก็พบว่า ไตรมาสสี่ปีก่อนจนถึงไตรมาสหนึ่งปีนี้ กำไรก็ลดลงมาก ทั้งๆที่ยอดขายลดลงไม่มาก แต่ในไตรมาสสองนี้กำไรก็เริ่มหดตัวช้าลงมาก และคาดว่ากำไรจะกลับมาดีได้ใน ไตรมาสสามหรือสี่ปีนี้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าภาวะถดถอยคราวนี้ ทำไมถึงกระทบไอทีซิตี้ ทั้งๆที่ ราคาคอมพิวเตอร์ก็ถูกมาก เครื่องนึงหมื่นกว่าบาทเอง แต่เมื่อไปดูกำไรของบิ๊กซี ก็เห็นว่าอืดๆเหมือนกัน ทั้งๆที่ขยายไปสิบกว่าสาขาในปีก่อน เลยคิดเอาเองว่า ภาวะแบบนี้ คนเค้าจะรัดเข็มขัด สิ่งที่เค้าจะลดก่อนคือ ของฟุ่มเฟือย ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็ถูกมองแบบนั้น ซึ่งบิ๊กซีเองก็บอกว่ายอดขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ตกหมด นี่คงเป็นคำอธิบายที่พอจะคิดได้ในตอนนี้ ในขณะที่บ้านยังขายได้ คอนโดยังขายได้ เพราะพวกนี้มันเป็นความใฝ่ฝันของคน ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ถ้าแบงค์ยังคงให้กู้ บ้านก็จะยังคงขายได้
ทีนี้ กลับมาดูไอทีซิตี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการขยายสาขาต่อเนื่อง ตอนนี้ ภาวะไม่ดี กำไรก็อาจจะยังไม่ดี แต่เมื่อภาวะต่างๆกลับมาดี ยอดขายและกำไรก็น่าจะดีขึ้นได้ คิดซะว่าเราต้องถือไอทีซิตี้ไป 10 ปี ตอนนั้นคงมีสาขาเพิ่มขึ้น2-3 เท่าตัว ถ้าภาวะยังแย่อยู่ กำไรก็คงโตเท่ายอดขาย แต่ถ้าภาวะกลับมาเป็นปกติ หรือ เกิดบูมขึ้นมาก กำไรก็ต้องโตมากกว่า 2-3 เท่าตัว การลงทุนก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากพอสมควร ถ้าถามว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในเมืองไทย ผมก็คิดว่ายังน้อยอยู่ ต่ากับโทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์ มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนเป็นหมื่น แต่คอมราคาเป็นหมื่นขึ้นไป แล้วโทรศัพท์มือถือนี่ แม่เราก็ใช้เป็น แต่คอมต้องมาเรียนรู้ ถึงจะใช้เป็น แต่ในปัจจุบันก็เริ่มใช้ง่ายขึ้นมาก เด็กรุ่นถัดไป ทุกคนต้องเล่นเป็นหมดอยู่แล้ว เป็นตลาดหลักที่เพิ่มขึ้นแน่นอน ตามหลักประชากรศาสตร์ คนที่ใช้อยู่แล้ว เช่นนักศึกษาในปัจจุบัน ก็ต้องซื้อต่อเนื่อง ส่วนตลาดใหม่ๆ น่าจะเป็นคนแก่ เพราะไปเห็นมาจากในหนังว่า คนแก่แล้วอยากเล่นคอมเป็นเพื่อจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา เล่นเอ็มเอสเอ็น คุยกับเพื่อนๆ เป็นการลดความเครียดได้
ดูราคาหุ้นในตอนนี้ 5.5 บาท คิดเป็นเงินปันผล 9.09% ถ้าในอนาคต การค้าขายของไอทีกลับมาดี ตลาดก็น่าจะยอมจ่ายแพงกว่านี้ เช่นยอมจ่ายที่ยีลด์ 4-5% ปีที่แล้วปันผล 50ตังค์ อีกสิบปี ถ้าการค้าไม่แย่นัก กำไรและปันผลเพิ่มขึ้นเป็นสัก 4 เท่า ก็คิดเป็น 2 บาท ต่อหุ้น ถ้าคิดราคาหุ้นจาก yield 5% ราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่ 40 บาท เทียบกับราคาตลาด 5.5 บาท คิดเป็น 7.27 เท่า ระหว่างนี้ก็รับปันผล 12.5 บาท เมื่อรวมปันผลแล้ว มันจะมีมูลค่า 52.5 บาท คิดเป็น 9.5เท่า ไม่เลวเลย ระหว่างนี้ สิ่งที่เราควรทำคือ อย่าเข้าไปยุ่งกับมัน แค่เอามือใส่ใว้ในกระเป๋ากางเกงไว้ก็พอ แล้วเวลา จะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตขึ้นเอง มันเป็นเหมือนห่านทองคำที่ออกไข่ใบใหญ่ขึ้นทุกๆวัน แถมไข่ที่เราได้รับ มันก็ใบใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่ลงทุนเลย
เมื่อมองจากมุมมองระยะยาวแล้ว ไอทีซิตี้มีความน่าสนใจ เพราะเค้ามีผลการดำเนินงานที่ดี มีกำไรสม่ำเสมอ แล้วก็สูงมากด้วย ในช่วงภาวะปกติ it city จะมี roe สูงราวๆ 18% สองสามปีมานี้ เค้าประสบกับภาวะที่ค่อนข้างแย่ มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง โรคระบาด ซึ่งผลัดกันโจมตีประเทศไทยมาตลอดสองสามปีแล้ว แต่เมื่อกลับมาดู roe ของบริษัทก็ลดลงเพียงเล็กน้อย อยู่ที่ระดับต่ำสุดเพียง 14% กว่าๆ ซึ่งสำหรับบริษัทส่วนใหญ่แล้ว ตัวเลขนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อกลับมาดูผลกำไร ก็พบว่า ไตรมาสสี่ปีก่อนจนถึงไตรมาสหนึ่งปีนี้ กำไรก็ลดลงมาก ทั้งๆที่ยอดขายลดลงไม่มาก แต่ในไตรมาสสองนี้กำไรก็เริ่มหดตัวช้าลงมาก และคาดว่ากำไรจะกลับมาดีได้ใน ไตรมาสสามหรือสี่ปีนี้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าภาวะถดถอยคราวนี้ ทำไมถึงกระทบไอทีซิตี้ ทั้งๆที่ ราคาคอมพิวเตอร์ก็ถูกมาก เครื่องนึงหมื่นกว่าบาทเอง แต่เมื่อไปดูกำไรของบิ๊กซี ก็เห็นว่าอืดๆเหมือนกัน ทั้งๆที่ขยายไปสิบกว่าสาขาในปีก่อน เลยคิดเอาเองว่า ภาวะแบบนี้ คนเค้าจะรัดเข็มขัด สิ่งที่เค้าจะลดก่อนคือ ของฟุ่มเฟือย ซึ่งคอมพิวเตอร์ก็ถูกมองแบบนั้น ซึ่งบิ๊กซีเองก็บอกว่ายอดขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ตกหมด นี่คงเป็นคำอธิบายที่พอจะคิดได้ในตอนนี้ ในขณะที่บ้านยังขายได้ คอนโดยังขายได้ เพราะพวกนี้มันเป็นความใฝ่ฝันของคน ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ถ้าแบงค์ยังคงให้กู้ บ้านก็จะยังคงขายได้
ทีนี้ กลับมาดูไอทีซิตี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการขยายสาขาต่อเนื่อง ตอนนี้ ภาวะไม่ดี กำไรก็อาจจะยังไม่ดี แต่เมื่อภาวะต่างๆกลับมาดี ยอดขายและกำไรก็น่าจะดีขึ้นได้ คิดซะว่าเราต้องถือไอทีซิตี้ไป 10 ปี ตอนนั้นคงมีสาขาเพิ่มขึ้น2-3 เท่าตัว ถ้าภาวะยังแย่อยู่ กำไรก็คงโตเท่ายอดขาย แต่ถ้าภาวะกลับมาเป็นปกติ หรือ เกิดบูมขึ้นมาก กำไรก็ต้องโตมากกว่า 2-3 เท่าตัว การลงทุนก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากพอสมควร ถ้าถามว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในเมืองไทย ผมก็คิดว่ายังน้อยอยู่ ต่ากับโทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์ มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนเป็นหมื่น แต่คอมราคาเป็นหมื่นขึ้นไป แล้วโทรศัพท์มือถือนี่ แม่เราก็ใช้เป็น แต่คอมต้องมาเรียนรู้ ถึงจะใช้เป็น แต่ในปัจจุบันก็เริ่มใช้ง่ายขึ้นมาก เด็กรุ่นถัดไป ทุกคนต้องเล่นเป็นหมดอยู่แล้ว เป็นตลาดหลักที่เพิ่มขึ้นแน่นอน ตามหลักประชากรศาสตร์ คนที่ใช้อยู่แล้ว เช่นนักศึกษาในปัจจุบัน ก็ต้องซื้อต่อเนื่อง ส่วนตลาดใหม่ๆ น่าจะเป็นคนแก่ เพราะไปเห็นมาจากในหนังว่า คนแก่แล้วอยากเล่นคอมเป็นเพื่อจะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงา เล่นเอ็มเอสเอ็น คุยกับเพื่อนๆ เป็นการลดความเครียดได้
ดูราคาหุ้นในตอนนี้ 5.5 บาท คิดเป็นเงินปันผล 9.09% ถ้าในอนาคต การค้าขายของไอทีกลับมาดี ตลาดก็น่าจะยอมจ่ายแพงกว่านี้ เช่นยอมจ่ายที่ยีลด์ 4-5% ปีที่แล้วปันผล 50ตังค์ อีกสิบปี ถ้าการค้าไม่แย่นัก กำไรและปันผลเพิ่มขึ้นเป็นสัก 4 เท่า ก็คิดเป็น 2 บาท ต่อหุ้น ถ้าคิดราคาหุ้นจาก yield 5% ราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่ 40 บาท เทียบกับราคาตลาด 5.5 บาท คิดเป็น 7.27 เท่า ระหว่างนี้ก็รับปันผล 12.5 บาท เมื่อรวมปันผลแล้ว มันจะมีมูลค่า 52.5 บาท คิดเป็น 9.5เท่า ไม่เลวเลย ระหว่างนี้ สิ่งที่เราควรทำคือ อย่าเข้าไปยุ่งกับมัน แค่เอามือใส่ใว้ในกระเป๋ากางเกงไว้ก็พอ แล้วเวลา จะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตขึ้นเอง มันเป็นเหมือนห่านทองคำที่ออกไข่ใบใหญ่ขึ้นทุกๆวัน แถมไข่ที่เราได้รับ มันก็ใบใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่ลงทุนเลย
การลงทุนแบบถือตลอดชีวิต
เนื่องจากเราได้อ่านบทความของบัฟเฟตมาเยอะมาก ก็ได้รับฟังแนวความคิดเรื่องการลงทุนระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาก็ค่อนข้างยาวอยู่แล้วคือ สามถึงห้าปี แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ฟังคลิปที่วอร์เรนสอนเด็กmba เลยกลับมาคิดถึงเรื่องการลงทุนแบบที่นานกว่าเดิมอีก อันที่จริงเดิมทีตั้งใจจะถือหุ้นตัวนึงคือ scnyl ไปตลอด เพราะตอนนั้นเคยคำนวณว่ามันจะมีมูลค่า 250-500 ภายในสิปปี และมีราคาเพียง 18 บาทเท่านั้น ต่อมาหุ้นก็ขึ้นไปถึง 80 บาท แล้วตลาดก็มีนโยบายให้บริษัทที่ขาดสภาพคล่องในการเทรดต้องออกจากตลาดไป ทำให้ราคาหุ้นค่อยๆลงมาถึง 70 ด้วยความที่ขาดประสบการณ์ เลยทยอยขายไปเกือบหมดที่ 70 กว่าบาท ปัจจุบัน ราคาหุ้นอยู่แถวๆ 280 บาท เมื่อได้มาฟังคลิปของปู่บัฟ ซึ่งพูดถึงบริษัทในญี่ปุ่นว่าไม่น่าลงทุนเพราะ roe ต่ำมาก แค่ 6-7% ทั้งๆที่ดอกเบี้ยแค่ 1% ก็ยังไม่น่าลงทุน เพราะหลังจากผ่านไปนานๆ 10-20 ปี บริษัทก็น่าจะยังคงเตาะแตะ ไม่ไปไหน ต่างกับบริษัทที่ roe สูงๆ ซึ่งยังสามารถขยายงานได้ต่อเนื่อง เมื่อผ่านไปนานๆ จะสามารถเติบโตได้อีกหลายเท่าตัว โดยแทบไม่ต้องการเงินทุนเพิ่มเลย ซึ่งนี่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการโดยแท้จริง ส่วนการซื้อหุ้นที่ roe ต่ำๆ แม้ว่ามันจะถูกในวันนี้ แต่ถ้าเราถือไปนานมากก็ไม่ได้อะไรมากมาย เมื่อเราซื้อมันมาแล้ว จะต้องมองหาวิธีที่จะขายมันออกไปเร็วๆ ในราคาที่ได้กำไร เพราะระยะเวลายิ่งนาน ผลตอบแทนต่อปีก็ยิ่งน้อย มันเหมือนการเดินไปบนถนน แล้วเห็นก้นบุหรี่ตกอยู่ เราหยิบขึ้นมาสูบฟรีได้สักครั้งนึง แล้วโยนทิ้งไป มันก็พอคุ้ม เพราะมันฟรี แต่ถ้าเราอยากจะลงทุนในสิ่งที่มีคุณค่าและคุณค่าของมันเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็ต้องมุ่งเน้นในธุรกิจที่มี roe สูงๆ ต่อเนื่องยาวนาน มีการเติบโตของส่วนของผู้ถือหุ้น และ กำไรสุทธิอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงรีบทำรายชื่อหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ขึ้นมาชุดหนึ่ง ซื่งมีเพียง 20กว่าบริษัทเท่านั้นที่จะติดตามศึกษา มันทุ่นเวลามากทีเดียว ต่อไปนี้การลงทุนของเราก็จะวนเวียนอยู่ในหุ้นกลุ่มนี้ ซึ่งถ้าเราลงทุนผิดเวลา ก็ไม่ต้องกังวล เพราะอีกสิบปีข้างหน้า มันก็จะเติบโตขึ้นไปอีก เมื่อเอามาประกอบกับการดูผลประกอบการรายไตรมาสแล้ว เราเชื่อว่าการลงทุนในห้าสิบปีข้างหน้าจะให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ ไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปีแน่นอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)